พุทธศาสนากับการแก้ปัญหาและการพัฒนา
พุทธศาสนากับการแก้ปัญหาและการพัฒนา
พระปลัดวัชระ วชิรญาโณ[*]
๑ บทนำ
ประเทศไทยนั้นเป็นสังคมหนึ่งซึ่งยอมรับพระพุทธศาสนาและได้รับการหล่อหลอมจากหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนามายาวนาน
วิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ตั้งแต่กำเนิดจนถึงตาย
จึงเกี่ยวโยงสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระพุทธศาสนา
แต่เมื่อสังคมโลกเปิดกว้างขึ้นทั้งในด้านสื่อสารมวลชน เศรษฐกิจ
การเมืองและวัฒนธรรม
จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่นำพาให้สังคมไทยก้าวเข้าไปสู่กระแสแห่งยุคโลกาภิวัฒน์ ส่งผลให้สังคมไทยต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติในหลายๆ
ด้าน กล่าวคือ วิกฤติการเมือง วิกฤติด้านเศรษฐกิจ วิกฤติด้านสังคม วิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม
พระพุทธศาสนา
จึงเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ที่จะสามารถนำหลักการสำคัญที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในแบบองค์รวม
เพื่อจะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างครบวงจร
อันจะส่งผลดีกับการแก้ไขปัญหาวิกฤติต่างๆ ของสังคมไทยต่อไป วิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนโยงใยถึงกันเป็นลูกโซ่
เป็นปัจจัยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นในด้านใดด้านหนึ่งของสังคมนั้นหมายถึงว่า
ผลพวงจากวิกฤตินั้นย่อมกระทบต่อระบบในสังคมนั้นด้วย เช่น
บ้านเมืองปัจจุบันเกิดภาวะวิกฤติ เพราะเป็นผลกระทบจากภาวะทางเศรษฐกิจทรุดตัว
นักการเมือง บุคคลในสังคมหวังเพื่อจะกอบโกยผลประโยชน์เป็นส่วนตัวมากขึ้น
ประชาชนอดอยากมากขึ้น
จึงเป็นภาวะวิกฤติทางสังคมเมื่อบุคคลในสังคมมีมากขึ้นความเห็นแก่ตัวมากขึ้น สภาพสิ่งแวดล้อมรอบตัวจึงไม่มีคนเอาใจใส่ดูแลจนเกิดเป็นภาวะวิกฤติทางสิ่งแวดล้อม
ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องนำกระบวนทัศน์ทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ
ในขณะนี้เพื่อนำหลักการทางพระพุทธศาสนานำไปปรับสู่การใช้หลัก พุทธศาสนากับการแก้ปัญหาและการพัฒนาต่อไป
๒. สภาพปัญหาในชุมชนและสังคมไทย
สภาพปัญหาเยาวชนไทยยุคโลกาภิวัตน์ทั้งหลายทั้งปวงมาจากความสับสนวุ่นวายทางจิตใจ
จิตใจเยาวชน ไม่มั่นคง ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดมั่น
องค์กรของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยตรง
เช่นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการ และ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีนโยบายในการแก้ปัญหาก็จริง แต่ขาดการปฏิบัติต่อเนื่อง
และจริงจัง ดังนั้นองค์กรทางศาสนา หลักธรรมคำสอน และพระสงฆ์เท่านั้น
จะเป็นผู้สร้าง ผู้ชี้ทางและเป็นผู้นำทางทางจิตใจของเยาวชนไทย
เป็นผู้อธิบายค่านิยมที่ถูกต้อง ผู้อธิบาย ความดี ความชั่ว
ความจริงของโลกและความสุขอันแท้จริงของชีวิต เป็นผู้ชี้นำความสว่าง ความสงบ
ทั้งแก่เยาวชน และแก่คนไทยทุกคนให้พบแต่ความสุขความเจริญ แต่นั่นก็หมายถึงว่า
พระสงฆ์เองก็ต้องพัฒนาตนเอง ให้อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะช่วยเหลือสังคม แก้ปัญหาสังคม
ไม่เป็นปัญหาสังคมเสียเอง ปัญหาสังคมไทยในปัจจุบันมีอยู่มากมาย
แต่ในที่นี้จะนำมากล่าวเฉพาะที่สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
๒.๑
ปัญหายาเสพติด
ตาม
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๔๖๕ ให้ความหมายว่า ยาต่าง
ๆที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเป็นยาเสพติดให้โทษตามบัญชีที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
โดยเห็นว่าอาจทำให้ผู้เสพติดแล้วให้โทษแก่ผู้บริโภค ๑) ทำให้เกิดความต้องการอย่างแรงกล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ
๒) ผู้เสพต้องตกเป็นทาสของยาเสพติดจะหยุดเสพมิได้ ๓) ผู้เสพต้องเพิ่มปริมาณของยาเสพติดขึ้นเรื่อย
ๆ จนเป็นอันตรายต่อร่างกาย
สาเหตุของการเสพยาเสพติด
๑) เกิดจากจิตใจ ๒) เกิดจากร่างกายที่เจ็บป่วย ๓) เกิดจากความคึกคะนอง
อยากรู้อยากเห็น อวดดี อยากทดลอง ๔) ติดเพราะยาซึ่งมีคุณสมบัติทำให้ติด ๕) ติดเพราะสิ่งแวดล้อม
อยู่ใกล้กับพวกเสพติด ๖) เกิดจากถูกชักชวน ๗)
เกิดจากสภาพแวดล้อมที่ผลักเยาวชนไปสู่ยาเสพติด ๘) เกิดจากการว่างงานไม่มีอะไรทำเป็นสาระก่อให้เกิดความกลัดกลุ้ม
ผลของยาเสพติดให้โทษ
๑ )
โทษร่างกาายและจิตใจยาเสพติดทถกประเภทก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมต่อร่างกายและจิตใจ
๒) โทษต่อครอบครัว ทำให้เศรษฐกิจในครอบครัวตกต่ำจนถึงหายนะได้ ๓) โทษต่อสังคม
เช่น เกิดการลักขโมย ปล้นจี้ ๔) โทษต่อประเทศชาติ มีผลกระทำต่อเศรษฐกิจ
ถ่วงความเจริญของประเทศการป้องกันและการรักษา
การป้องกันจำแนกออกเป็น
๑) การป้องกันตนเอง ๒) ป้องกันทางครอบครัว ๓)
ป้องกันทางเพื่อนบ้าน ๔) ป้องกันโดยให้ความร่วมมือกับทางราชการ ๕)
ป้องกันโดยการให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชนทั่วไป ๖) ป้องกันการผลิต ๗) การปราบปรามและการลงโทษอย่างรุนแรง
แก่ผู้กระทำผิด
๒.๒.
ปัญหาอาชญากรรม
ในสังคมปัจจุบัน
การเกิดปัญหาทางด้านอาชญากรรมเกิดขึ้นมาก
ทำให้ต้องมีกฎหมายใช้เป็นกฎบังคับเพื่อไม่ให้มีการกระทำความผิด
หากบุคคลใดได้กระทำความผิดตามกฎหมายบัญญัติต้องรับโทษตามกฎหมายที่บัญญัติ ไว้
ดังนั้นกฎหมายซึ่งเป็นหัวใจหลักให้บุคคลได้ตระหนักถึงโทษที่จะได้รับ
มาตรา ๑๘
โทษสำหรับลงแต่ผู้กระทำความผิด จะมีการเรียงลำดับหนักเบาของแต่ละโทษคือ
โทษประหารชีวิตจะเป็นโทษที่เป็นโทษที่หนักที่สุดเพราะทำให้นักโทษถึงแก่ ชีวิต
จำคุกเป็นโทษรองลงมาเพราะนักโทษจะไม่ได้รับอิสรภาพ
การกักขังจะเบากว่าการจำคุกเพราะสถานที่การกักขังของการจำคุกจะมีกฎกติกา มากกว่า
ส่วนโทษปรับและริบทรัพย์สินถือว่าปรับเป็นโทษที่หนักกว่าเพราะโทษของการปรับ
เงินที่ได้มา มาโดยสุจริต แต่โทษริบทรัพย์สินได้มาโดยการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ในกรณีผู้กระทำความผิดมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีได้กระทำความผิด
โดยโทษที่ต้องรับคือโทษประหารชีวิต ให้ถือว่าระวางโดยดังกล่าวเปลี่ยนมาเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี
ตัวอย่าง เด็กชาย แมงมุมกับพวก อายุประมาณ ๑๖-๑๗ ปี ได้ค้ายาบ้ารายใหญ่ในซอยดินแดง
วันหนึ่งตำรวจได้วางแผนจับกุมกลุ่มของเด็กชาย แมงมุมกับพวกคือสั่งซื้อยาบ้า ๕,๐๐๐
เม็ด เมื่อตำรวจล่อเด็กชาย แมงมุมกับพวกเพื่อซื้อยาบ้าตามที่นัดหมายและได้ทำการซื้อขายยาบ้าจำนวน
๕,๐๐๐ เม็ดในขณะเดียวกันตำรวจที่ปลอมมา ได้แสดงตัวเป็นตำรวจเพื่อเข้าจับกุม
แต่ขณะเดียวกันเมื่อเด็กชาย
แมงมุมรู้ตัวก็ได้ใช้ปืนยิงตำรวจที่จะเข้ามาจับจนเสียชีวิต ในขณะที่เด็กชาย
แมงมุมกับพวกหนีจากการไล่ล่าของตำรวจเด็กชายแมงมุมกับพวกได้ยิงประชาชนที่
อยู่ในบริเวณดังกล่าวจนถึงแก่ชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ในกรณีนี้เด็กชายแมงมุมกับพวกต้องรับโทษประหารชีวิตเพราะได้กระทำความผิดข้อ
หา ค้ายาบ้าซึ่งเป็นสิ่งเสพติดประเภทที่ ๑
เป็นจำนวนมากและได้ยิงตำรวจจนเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่และทำให้ผู้อื่น
เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น ตามมาตรา ๑๘
โทษประหารชีวิตในกรณีการกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีได้กระทำ
ความผิดจากโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตให้เปลี่ยนเป็นโทษจำคุกห้าปี
๒.๓
ปัญหาการทุจริต
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาเป็นเวลานาน
ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา
จะมีความแตกต่างกันที่ความรุนแรงของปัญหาว่ามีมากน้อยเพียงใด
การทุจริตคอร์รัปชันได้ส่งผลให้สังคมไทยเกิดปัญหาความยากจน การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม
มีความเหลื่อมล้ำในสังคม บั่นทอนความมั่นคง ความสงบสุข
และมีผลกระทบต่อกระบวนการพัฒนาประเทศในทุกระดับ ซึ่งจากการจัดอันดับดัชนี ภาพลักษณ์คอร์รัปชันขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ
( Transparency
International ) พบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน
เป็นลำดับที่ ๖๑ ของโลก ซึ่งอยู่ในลำดับต้นๆ ของเอเชีย และมี
แนวโน้มจะทวีความรุนแรงโดยมีจำนวนเม็ดเงินที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้นและมี
ลักษณะการกระทำเป็นกระบวนการที่ ซับซ้อนและยากแก่การติดตามตรวจสอบ หากไม่มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังแล้ว
การทุจริตคอร์รัปชันจะกัดกร่อนเศรษฐกิจ และสังคมไทยจนยากแก่การแก้ไขได้ในระยะยาว สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ได้ตระหนักถึงภัยอันเกิดจากปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน จึงได้ติดตามปัญหา รวมทั้งส่งเสริมให้เครือข่ายภาคประชาชนให้ความสนใจและเอาใจใส่ต่อปัญหาการ
คอร์รัปชันที่เกิดขึ้น อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจของสังคมไทยต่อรูปแบบและวิธีการคอร์รัปชัน
ที่ผ่านมาและที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือระหว่างประชาชนกับองค์กรภาคประชาชน
และสร้างความเข้มแข็งให้แก่กระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
๓. ธรรมะกับการแก้ปัญหา
ประเทศไทยนั้นเป็นสังคมหนึ่งซึ่งยอมรับพระพุทธศาสนา
และได้รับการหล่อหลอมจากหลักธรรม คำสอนในพระพุทธศาสนามายาวนาน
วิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ตั้งแต่กำเนิดจนถึงตาย
จึงเกี่ยวโยงสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระพุทธศาสนา
แต่เมื่อสังคมโลกเปิดกว้างขึ้นทั้งในด้านสื่อสารมวลชน เศรษฐกิจ
การเมืองและวัฒนธรรม จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่นำพาให้สังคมไทยก้าวเข้าไปสู่กระแสแห่งยุคโลกาภิวัฒน์
ส่งผลให้สังคมไทยต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติในหลายๆ ด้าน กล่าวคือ
๑.
วิกฤติการเมือง
๒.
วิกฤติด้านเศรษฐกิจ
๓.
วิกฤติด้านสังคม
๔.
วิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม
พระพุทธศาสนา
จึงเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ที่จะสามารถนำหลักการสำคัญที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในแบบองค์รวม
เพื่อจะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างครบวงจร
อันจะส่งผลดีกับการแก้ไขปัญหาวิกฤติต่างๆ ของสังคมไทยต่อไป
วิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนโยงใยถึงกันเป็นลูกโซ่
เป็นปัจจัยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นในด้านใดด้านหนึ่งของสังคมนั้นหมายถึงว่า
ผลพวงจากวิกฤตินั้นย่อมกระทบต่อระบบในสังคมนั้นด้วย เช่น
บ้านเมืองปัจจุบันเกิดภาวะวิกฤติ เพราะเป็นผลกระทบจากภาวะทางเศรษฐกิจทรุดตัว
นักการเมือง บุคคลในสังคมหวังเพื่อจะกอบโกยผลประโยชน์เป็นส่วนตัวมากขึ้น
ประชาชนอดอยากมากขึ้น จึงเป็นภาวะวิกฤติทางสังคมเมื่อบุคคลในสังคมมีมากขึ้นความเห็นแก่ตัวมากขึ้น
สภาพสิ่งแวดล้อมรอบตัวจึงไม่มีคนเอาใจใส่ดูแลจนเกิดเป็นภาวะวิกฤติทางสิ่งแวดล้อม ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องนำกระบวนทัศน์ทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ
ในขณะนี้
๓.๑
พรมวิหาร ๔
พรหมวิหาร
แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน
เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์
หลักธรรมนี้ได้แก่
๑.
เมตตา : ความปราถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์
ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้ และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ
เป็นต้น
๒.
กรุณา : ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ
สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
และเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่าความทุกข์มี ๒
กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
-
ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด
การเจ็บไข้
ความแก่และความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์
-
ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น
เมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์
การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทุกข์
๓.
มุทิตา : ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี คำว่า "ดี" ในที่นี้ หมายถึง
การมีความสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึงหมายถึง
ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ไม่มีจิตใจริษยา
ความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธ
ความฟุ้งซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตน เช่น
เห็นเพื่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วครูชมเชยก็เกิดความริษยาจึงแกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน
หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของเพื่อนนักเรียนคนนั้นให้สกปรกเลอะเทอะ
เราต้องหมั่นฝึกหัดตนให้เป็นคนที่มีมุทิตา
เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตรกับผู้อื่นได้ง่ายและลึกซึ้ง
๔.
อุเบกขา : การรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่า
ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรม คือ
ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทำ
เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น
เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
๓.๒
อิทธิบาท ๔
คำว่า
อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม
เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด
ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ ๑) ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น ๒) วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น ๓) จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ๔) วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น ธรรม
๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน
๑)
ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้
ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ
๒)
วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ
ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง
๓)
จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น
วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ
อยู่ด้วยอย่างเต็มที่
๔)
วิมังสา หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่
๓.๓
สันโดษ ๓
มาจากภาษาบาลีว่า สันโตสะ สัน แปลว่า ตน โตสะ
แปลว่า ยินดี สันโดษจึงแปลว่า ยินดี พอใจ อิ่มใจ สุขใจ กับของของตน กล่าวโดยย่อคือ
ให้รู้จักพอ ให้รู้จักประมาณตน ลักษณะของสันโดษ ๓ ประการ คือ ๑) ยถาลาภสันโดษ
ยินดีตามมี ๒) ยถาพลสันโดษ ยินดีตามได้ ๓) ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามควร
เมื่อเราเข้าใจกฎแห่งกรรม
ยอมรับกฎแห่งกรรมด้วยปัญญาชอบ แล้วก็จะพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่
ตามฐานะของตนในปัจจุบัน ยอมรับว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
สมบูรณ์แล้วด้วยเหตุผล อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล มันเป็นกรรมเก่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า
กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร่างกายจิตใจของเรา
รวมทั้งสิ่งที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยของกาย เช่น พ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา ลูก ๆ
บุคคลต่าง ๆ ตลอดจนทรัพย์สมบัติ สถานที่ บ้าน สังคม ประเทศชาติ
ที่เราต้องไปเกี่ยวข้อง ล้วนเป็นกรรมเก่า
๓.๔
ฆราวาสธรรม ๔
๑)
สัจจะ คือการเป็นคนจริง ในที่นี้จะนำเสนอสองนัยยะ
นัยยะแรกคือ เมื่อตั้งใจอะไรไว้แล้ว
ก็จริงต่อเป้าหมายนั้นไม่ท้อถ่อยต่อเป้าหมายนั้น
เพราะงานทุกอย่างในโลกนี้ทั้งงานใหญ่ งานเล็ก ล้วนต้องเจออุปสรรคด้วยกันทั้งสิ้น
ทั้งอุปสรรคภายในคือใจของเราเอง หรืออุปสรรคภายนอก เงื่อนไข สิ่งแวดล้อม
ผู้คนรอบตัวก็ตาม ดังนั้นจะประสบความสำเร็จได้ “เราต้องจริง”
เมื่อเจออุปสรรคก็ไม่หยุด แต่จงเดินหน้าต่อไปจนบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นัยยะที่สองคือเป็นคนที่รักษาคำพูด
พูดคำไหนคำนั้น เชื่อถือได้ เหมือนดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ตถาคต
พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ทำอย่างไรพูดอย่างนั้น” ถ้าทำได้อย่างนี้
เราจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือ ส่งผลให้ชีวิตเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
๒)
ทมะ คือการฝึกตัวเอง เมื่อเราตั้งใจอะไรไว้แล้วก็ต้องฝึกตัวเองให้เพิ่มพูนตลอดเวลา
เพื่อจะได้สามารถทำไปถึงเป้าหมายได้สำเร็จสมความตั้งใจ ตอนเริ่มต้นอาจจะไม่ได้เก่ง
แต่มุ่งตรงต่อเป้าหมายนั้น แล้วฝึกตัวเองพัฒนาศักยภาพ ขอเพียงอย่าหยุดการฝึกตัวเอง
ฝึกไปจนตลอดชีวิตของเราเลย สุดท้ายความสำเร็จจะเป็นของเรา
๓) ขันติ คือความอดทน ความอดทนในที่นี้มีสี่ระดับ
๑. อดทนต่อความลำบากตรากตรำ
๒. อดทนต่อทุกขเวทนา
๓. อดทนต่อการกระทบกระทั่ง
๔. อดทนต่อสิ่งที่เย้ายวนใจ
หรือกิเลสซึ่งทนได้ยาก
๔) จาคะ คือความเสียสละ ทั้งสละวัตถุสิ่งของ
มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น และสละอารมณ์ ไม่เก็บอารมณ์ขุ่นมัวไว้ในใจ
ทำให้ใจเราผ่องแผ่วอยู่เรื่อยๆ คนเราจะประสบความสำเร็จได้ต้องรู้จักจาคะ
ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นด้วย คนไหนที่เริ่มเติบโตในหน้าที่การงานแล้ว มีน้ำใจต่อผู้ร่วมงานรอบข้างไม่โตเดี่ยว
ดึงคนอื่นขึ้นมาด้วยเป็นกลุ่ม
ก็จะสามารถรับมือกับอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมั่นคง
ผู้นำฆราวาสธรรม ๔ ไปใช้
แม้อยู่ครองเรือนก็จะเป็นฆราวาส คฤหัสถ์ที่มีความสุขความสำเร็จในชีวิต
หากเป็นนักบวชก็จะได้รับผลแห่งการปฏิบัติบำเพ็ญสมณธรรมด้วยสิ่งที่ตั้งใจ
ปฏิบัติตามหลักฆราวาสธรรม ทั้ง ๔ ประการนี้
๓.๕
มิตรแท้ ๔
๑
มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
๑.๑ รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว
๑.๒ รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว
๑.๓ เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้
๑.๔
เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้นเพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า
[เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก]
๒
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ คือ
๒.๑ บอกความลับ [ของตน] แก่เพื่อน
๒.๒ ปิดความลับของเพื่อน
๒.๓ ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย
๒.๔ แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้
๓ มิตรแนะประโยชน์
ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ คือ
๓.๑ ห้ามจากความชั่ว
๓.๒ ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓.๓ ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๓.๔ บอกทางสวรรค์ให้
๔
มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ คือ
๔.๑ ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน
๔.๒ ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน
๔.๓ ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน
๔.๔ สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน
๔ แนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสังคม
ในแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อการแก้ปัญหาโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาต้องมีกิจกรรมอันจะนำไปสู่การเข้าใจในหลักธรรมและสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาได้
ซึ่งจะกล่าวต่อไปในกระบวนการจัดกิจกรรมเพื่อให้ก่อเกิดองค์ความรู้นำไปแก้ปัญหาและพัฒนาสังคม
๔.๑.
การเข้าค่ายพุทธบุตร
การเข้า
ค่ายพุทธบุตร หรือ ค่ายพุทธธรรม เป็นกิจกรรมของเยาวชนในโครงการการอบรมคุณธรรม
จริยธรรม ตามหลักพัฒนาชีวิตและสังคม คือ บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) โดยพระสงฆ์วิทยากรผู้ทรงความรู้จะฝึกฝนเยาวชนให้มีทักษะชีวิตตามคำสอนและวัตรปฏิบัติของพระพุทธเจ้า
สถานที่จัดค่ายพุทธบุตรหรือค่ายพุทธธรรมขึ้นอยู่กับความสะดวก
ซึ่งอาจเป็นวัด สถานศึกษา หรือค่ายฝึกอบรม
ส่วนหลักสูตรการฝึกอบรมจะเน้นการศึกษาธรรมะและฝึกปฏิบัติธรรมตามแนวทางพระพุทธศาสนา
คือ ให้ทานรักษาศีลและเจริญภาวนา ระยะเวลาการปฏิบัติธรรมอาจเป็น ๓-๑๕ วัน
ตามความเหมาะสม
ประโยชน์ของการเข้าค่ายพุทธบุตร
มีดังนี้
๑.
เสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจให้เยาวชน โดยการฝึกบำเพ็ญทางจิตภาวนา
๒.
ปลูกฝังจริยธรรมให้เยาวชนมีเจตคติที่ดีต่อพระพุทธศาสนา
๓.
ให้เยาวชนได้เรียนรู้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
ด้วยการฝึกการใช้ชีวิตอย่างผู้ถือเพศพรหมจรรย์ ด้วยการรักษาศีล ๘
๔.
ได้พัฒนาจิตสำนึกที่ดีงาม สำหรับการพัฒนาตนและสังคม
๕.
ฝึกทักษะความรับผิดชอบทั้งต่อ ตนเอง สังคม และประเทศชาติ
๔.๒. การเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
พิธีกรรม
คือ ระเบียบแบบแผนที่เป็นแบบอย่าง มีระบบ ขั้นตอน ปฏิบัติสืบทอดกันมา พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
หมายถึง พิธีกรรมที่ชาวพุทธปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ มี ๒ อย่าง คือ พิธีกรรมที่เกี่ยวกับพระสงฆ์โดยตรงซึ่งถือว่าเป็นพุทธบัญญัติ
และพิธีกรรมที่เป็นกิจของฆราวาส ที่ได้รับการสืบทอดมาจากพุทธศาสนา พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์
ได้แก่ พิธีอุปสมบท พิธีกรรมการรับกฐิน พิธีกรรมการเข้าพรรษา และการปวารณาออกพรรษา
เป็นต้น ส่วนพิธีกรรมที่เป็นกิจของฆราวาสนั้น เป็นเรื่องพิธีที่ชาวพุทธควรปฏิบัติ ที่เรียกว่าบุญพิธี
และทานพิธี ได้แก่
๑)
พิธีกรรมวันสำคัญต่างๆ ได้แก่ วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา
วันออกออกพรรษา
๒)
พิธีกรรมการการทำบุญมงคลต่างๆ เช่น ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญวันเกิด ทำบุญวันแต่งงาน
ทำบุญถวายสังฆทาน ฯลฯ
๓)
พิธีกรรมเกี่ยวกับงานอวมงคลต่างๆ เช่น ทำบุญงานศพ ทำบุญครบรอบวันตาย
ทำบุญอุทิศต่างๆ เป็นต้น
๔.๓ ประโยชน์ของการเข้าร่วมพิธีกรรม
การเข้าร่วมพิธีกรรมถือว่าเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคน
ก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้.-
๑. เป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา
๒. เป็นการรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีของพระพุทธศาสนา
๓. เป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมไทย
๔. เป็นการสร้างความสามัคคีแก่ส่วนรวม
๕. เป็นการสร้างบุญกุศลให้แก่ตนเอง
๖. เป็นการสร้างปัญญา ทำให้เกิดความสงบ
เข้าถึงธรรม
๗. เป็นการสร้างระเบียบวินัยให้แก่ตนเอง
๘. เป็นโอกาสที่จะได้ฟังธรรมะจากพระสงฆ์ร่วมกัน
๔.๔
การปฏิบัติตนในการเข้าร่วมพิธีกรรม
การเข้าร่วมศาสนพิธีไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืองานอวมงคล
ทุกคนต้องปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามประเพณีนิยมของสังคมพุทธ ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติขณะเข้าร่วมพิธีกรรม
ดังนี้
๑. ต้องแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์ เช่น กราบ
หรือไหว้
๒. ต้องแสดงความเคารพต่อสถานที่ เช่น
กราบพระประธานในอุโบสถหรือพระพุทธรูปที่ต่างๆ
๓. ต้องแต่งกายให้เรียบร้อย
๔. อยู่ในอาการสำรวม ระมัดระวังกิริยามารยาท
๕. ควรนั่งให้เรียบร้อย ให้เหมาะสมกับเพศและวัย
๖. ไม่ควรพูดคุย หรือซุบซิบกัน ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น
๗. ไม่ควรนำอาหารไปรับประทาน
๘. ไม่ควรเสพสิ่งเสพติด เช่น บุหรี่ สุรา ฯลฯ
๔.๕
การสัมมนาและเสนอแนะแนวทางในการธำรงรักษาพระพุทธศาสนา
การสัมมนา
คือการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็น เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
โดยใช้หลักการ วิธีการ หรือกระบวนการอย่างใดอย่างหนึ่ง ในชั้นนี้
เป็นการจัดสัมมนาพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการแก้ปัญหาและการพัฒนา โดยเน้นไปที่การพัฒนาสังคมและการจัดระเบียบสังคม
โดยใช้หลักการ วิธีการ หรือกระบวนการทางพระพุทธศาสนา ผลที่ได้จากการสัมมนาสามารถนำไปเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิต
และสังคมได้ เนื่องจากกิจกรรมนี้มีความหลากหลายนักเรียนสามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ
แล้วเก็บข้อมูลนำมาวิเคราะห์ สรุปผลการอภิปราย
บอกแนวทางการปฏิบัติและประโยชน์ที่จะได้รับจากการสัมมนา
ในการจัดสัมมนาในระดับชั้นนี้
ขอยกขัวข้อประเด็นสำคัญเพื่อเป็ฯแนวทางในการจัดสัมมนา ดังนี้
๕ พุทธศาสนากับการพัฒนาแบบยั่งยืนในสังคมไทย
ในการพัฒนาแบบยั่งยืนในสังคมไทย
ตามแนวทางพุทธศาสนานั้น จะเน้นการพัฒนาคนเป็นหลัก ในการพัฒนาคนนั้น สิ่งสำคัญของการพัฒนาคือ
ปัญญา เพราะทำให้รู้จักสิ่งทั้งหลายและรู้ว่าจะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไร
การพัฒนาจะเป็นไปพร้อมกันทั้ง ๓ ด้าน คือ
๑)
พัฒนาพฤติกรรม(ศีล) หรือวิธีการใช้ชีวิต ตลอดจนการทำมาหาเลี้ยงชีพ
ในการพัฒนาด้านนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาคนให้มีศีล คือ วินัย เพราะวินัย
เป็นตัวการจัดเตรียมชีวิตให้อยู่ในสภาพที่เอื้อต่อการพัฒนา
๒)
พัฒนาด้านจิตใจ(สมาธิ) เช่นพัฒนาคุณธรรม ความเข้มแข็ง
มั่นคงของจิตใจและสภาพจิตที่ดีงาม รวมทั้งความสุข
๓)
พัฒนาด้านปัญญา(ปัญญา) คือความรู้ความเข้าใจต่าง ๆ รวมทั้งแนวความคิด ทัศนคติ
และค่านิยม ในการฝึกฝนหรือพัฒนาด้านความรู้ ความเข้าใจ ทำได้โดยรู้จักวินิจฉัย
ไตรตรอง ตรวจสอบโดยอาศัยเหตุผล
เพื่อให้เข้าใจความเป้นจริงที่เป็นสากลของสิ่งทั้งปวง
การพัฒนาทั้ง
๓ ด้านนี้จะต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน
ซึ่งหากพัฒนาได้ทั้งสามด้านแล้วจะทำให้ชีวิตมีแต่ความดีงาม
ซึ่งจะนำปสู่การเข้าถึงอิสรภาพและสันติสุขที่แท้จริง การพัฒนาหรือการฝึกฝนทั้ง ๓
ด้านนี้ เราเรียกว่า ไตรสิกขา ซึ่งประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเอง
๖
การปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาของพุทธบริษัทในสังคมไทย
พระพุทธศาสนา
นั้นมีพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว
ทรงบัญญัติไว้แล้วแก่พุทธบริษัททั้งหลาย เป็นศาสดาแทนองค์พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาจะเจริญหรือเสื่อมนั้น ขึ้นอยู่กับพุทธบริษัททั้ง ๔
เป็นประการสำคัญ หากพุทธบริษัทยังประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
ทรงบัญญัติไว้แล้ว พระพุทธศาสนาก็จะไม่เสื่อมสลายไปจากโลกนี้ องค์การสหประชาชาติประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลก
เนื่องจากพระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีคุณูปการอันใหญ่หลวงในทางจิตวิญญาณต่อมวลมนุษยชาติ
ตลอดช่วงระยะเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปี
และสืบต่อไปในอนาคต
ปัจจุบันประเทศไทยได้รับการยอมรับจากผู้นำชาวพุทธทั่วโลกให้พุทธมณฑล
เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๓
บัญญัตว่า รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา ฯ ซึ่งสถาบันพระพุทธศาสนา
มีองค์ประกอบสำคัญ ๆ ที่รัฐจะต้องให้ความอุปถัมภ์คุ้มครอง ๔ ด้านด้วยกัน คือ
๑)
ด้านศาสนบุคคล ได้แก่ พุทธบริษัททั้ง ๔ ประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
และอุบาสิกา
๒)
ด้านศาสนวัตถุ ได้แก่ ถาวรวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา อาทิ
พระพุทธรูป สถูป โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ ที่เคารพสักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
๓)
ศาสนธรรม ได้แก่
พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติไว้แล้วแก่พุทธบริษัททั้งหลาย จำนวน
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ประกอบด้วย พระวินัย ๒๑,๐๐๐
พระธรรมขันธ์ พระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ รวมเรียกว่าพระไตรปิฎก
๔)
ศาสนพิธี ได้แก่ พิธีกรรมที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา
ประกอบด้วย พิธีบำเพ็ญกุศล พิธีทำบุญ พิธีถวายทานและพิธีอื่น ๆ ทั่วไป
ในสภาพปัจจุบันนี้
กระแสวัตถุนิยมรุนแรงส่งผลให้ค่านิยมทางด้านจิตใจถูกละเลยไป
องค์ประกอบสำคัญทั้งในด้านศาสนบุคล ศาสนวัตถุ ศาสนธรรมและศาสนพิธี กำลังมีปัญหาทั้งภัยภายในและภัยภายนอกอยู่รอบด้าน
เนื่องจากชาวพุทธบางคนละเลยการประพฤติปฏิบัติในศีลธรรม
ไม่เว้นแม้ผู้ที่เข้ามาบวชในศาสนาบางคนเมื่อบวชแล้วไม่สนใจศึกษาและปฏิบัติ
ตามพระธรรมวินัย
อาศัยช่องทางจากความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยของชาวพุทธแสวงหา ประโยชน์โดยวิธีการต่าง
ๆ เช่น แสวงหาลาภสักการะโดยยืนปักหลักรับบิณฑบาตและเรี่ยไรเงินทองเพื่อประโยชน์ตน
เอง บางครั้งตั้งตนเป็นหมอดูทำนายทายทัก บอกใบ้ให้หวย เป็นหมอยา
หมอเสน่ห์หลอกลวงให้ประชาชนหลงผิด ปฏิบัติผิด
และยิ่งกว่านั้นชาวพุทธบางคนถึงขนาดปลอมบวชเป็นพระภิกษุสามเณร
แล้วใช้อุบายหลอกลวงที่แยบยล จนกลายเป็นข่าวตามสื่อมวลชนอยู่บ่อยครั้ง
สร้างความเสียหายต่อสถาบันพระพุทธศาสนาโดยส่วนรวม
ยากที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว
๗.
การปลูกจิตสํานึกและการมีส่วนร่วมในสังคมพุทธ
การปลูกจิตสำนึก
พระ ธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงการปลุกจิตสำนึกของสังคมพุทธ ความว่า
ตามหลักพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนจะต้องมองกว้าง คิดไกล ใฝ่สูง
โดยมีคำอธิบายดังต่อไปนี้
๑)
มองกว้าง พระพุทธศาสนาสอนให้เรา มองกว้าง กล่าวคือไม่ให้มองแค่ตัวเอง
ไม่ให้มองแค่สังคมของเรา แต่ให้มองทั้งโลก
ให้มีปัญญามองเห็นระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยในสรรพสิ่ง ในธรรมชาติทั้งหมด
เรามองว่าธรรมชาติทั้งหมดนี้เป็นระบบแห่งปัจจัยสัมพันธ์ สิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้มีความสัมพันธ์
พึ่งพาอิงอาศัยและส่งผลกระทบต่อกันทั้งสิ้น
และให้มีเมตตากรุณาดำเนินชีวิตและบำเพ็ญกิจต่างๆ
มองกว้าง
นั้น ถ้ายังมองออกไปไม่ถึงทั้งโลกหรือถึงอารยธรรมของมนุษยชาติ
ก็ขอให้มีจิตสำนึกทางสังคม ในระดับประเทศชาติของตัวเองก่อน เป็นการค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ
พัฒนากันไป ขยายทัศนะออกไป
ไม่ใช่มองอยู่แค่ตัวเองและผลประโยชน์ของตัวหรือเอาแต่กลุ่มแต่พวกของตัวแล้ว
ก็กระทบกันไป กระแทกกันมา อยู่แค่นั้น จิตสำนึกทางสังคมนั้น
ตอนแรกเอาแค่ให้มีความรักบ้านเมือง
มีความซาบซึ้งภูมิใจในความดีงามของชุมชนหรือสังคมของตน ซึ่งจะแสดงออกมาในจิตใจ
เช่น เมื่อเห็นคนต่างประเทศเข้ามาในบ้านเมืองของตน ก็คิดนึกว่า
ถ้าคนต่างชาติเหล่านั้นเดินทางไปในประเทศของเรา ได้เห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ความสะอาด ทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามในบ้านเมืองของเรา
และประชาชนที่อยู่ดีมีสุขมีน้ำใจ เขาก็คงจะชื่นชมแม้
แต่ไม่เห็นคนต่างชาติเหล่านั้น แต่ตนเองเดินทางไปในบ้านเมืองของตัว
มองเห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด
ทัศนียภาพในธรรมชาติแวดล้อมที่ยังคงอยู่ในสภาพอันดี และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
แล้วเกิดความรู้สึกชื่นใจ อยากให้คนต่างบ้านต่างเมืองมาเห็น และนึกว่าถ้าเขามาเห็นแล้ว
เขาก็จะชื่นชม เมื่อนึกไปและทำให้เป็นไปจริงได้อย่างนี้แล้ว ก็เกิดความปีติ
เอิบอิ่มปลาบปลื้มใจ ภูมิใจในประเทศชาติบ้านเมือง ความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้
ถ้ามีขึ้นเกิดขึ้นเสมอ ๆ ก็จะชักนำจิตใจและความคิดไปในทางที่ดีงาม และสร้างสรรค์
จะทำให้ชีวิตและสังคมเจริญพัฒนาไปในทางที่ดีงามถูกต้อง
๒)
คิดไกล พระพุทธศาสนาสอนให้ คิดไกล ไปข้างหน้าจนกว่าจะถึงจุดหมายสูงสุด
ให้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน โดยมีปัญญาสืบค้นหยั่งรู้เหตุปัจจัยยาวไกลในอดีต
และมีความไม่ประมาทที่จะป้องกันความเสื่อมและสร้างสรรค์เหตุปัจจัยให้พร้อม ที่จะนำไปสู่ความเจริญงอกงามในอนาคต
บนฐานแห่งชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน ที่จัดการกับปัจจุบันให้ดีที่สุด
ด้วยการพัฒนาตนก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา ให้ชีวิตงอกงามสมบูรณ์จนถึงพระนิพพาน
นี่คือคิดไกลอย่างยิ่ง
๓)
ใฝ่สูง ก็คือใฝ่ธรรมมุ่งแสวงหาความรู้ให้เข้าถึงความจริงแท้ ปรารถนาจะสร้างสรรค์ความดีงาม
บำเพ็ญประโยชน์สุขแก่สังคม ให้ชีวิตและสังคมบรรลุความดีงามประเสริฐเลิศด้วยธรรม
เหมือนดังพระโพธิสัตว์ที่ตั้งปณธานใฝ่ปรารถนาโพธิญาณ มีใจเด็ดเดี่ยว
มุ่งหวังบรมธรรม อย่างนี้จึงจะเรียกว่าใฝ่สูง
ความ
ใฝ่สูง คือใฝ่ธรรม ที่เป็นหลักการใหญ่ประจำใจของคนทั้งสังคม คือ
การถือธรรมเป็นใหญ่ เคารพธรรม บูชาธรรม คนในสังคมนี้จะต้องเชิดชูบูชาความจริง
ความถูกต้อง ความดีงาม ยึดเอาธรรม คือ ความจริง ความถูกต้อง
ความดีงามนั้นเป็นบรรทัดฐาน ถ้าสังคมไทยเป็นสังคมแห่งความใฝ่ธรรมได้อย่างนี้
ก็ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นสังคมที่มีอุดมธรรม ถ้าคนไทยมีอุดมธรรมแล้ว ปัญหาต่างๆ
ที่เลวร้ายทั้งหลายจะหมดไป และความเจริญพัฒนาที่แท้จริงอันพึงปรารถนาก็จะตามมา
๘. การมีส่วนร่วมในสังคมพุทธ
การมีส่วนร่วมในสังคมพุทธ
คือ การที่พุทธศาสนิกชนจะต้องส่วนเข้ามาช่วยเหลือสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ให้มี
ความสงบสุข ดังนั้นการเข้ามามีส่วนร่วมจะต้องเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
ซึ่งพระธรรมปิฎก กล่าวว่า
๘.๑
คนมีคุณแก่ส่วนรวม
สมาชิกที่ดีของสังคมจะเป็นผู้ช่วยสร้างสรรค์สังคม
มีธรรม คือหลักความประพฤติ ดังนี้
๑)
มีหลักพรหมวิหาร คือ
ธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐหรือผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่กว้างขวางดุจพระพรหม ๔ อย่างคือ
มีเมตตา คือความรักความปรารถนาดี มีไมตรีจิตที่ดี
ต้องการช่วยเหลือให้ทุกคนประสบประโยชน์และความสุข มีความกรุณา คือความสงสาร
อยากช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์
ใฝ่ใจที่จะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของคนและสัตว์ทั้งปวง มีมุทิตา
คือความเบิกบานพลอยยินดี เมื่อเห็นผู้อื่นอยู่ดีมีสุข ก็มีใจแช่มชื่นเบิกบาน
เมื่อเห็นเขาทำดีงามประสบความสำเร็จก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ก็พลอยยินดีบันเทิงใจด้วย
พร้อมที่จะช่วยส่งเสริมสนับสนุน และมีอุเบกขา คือความมีใจเป็นกลาง
มองตามความเป็นจริง ไม่เอนเอียง หรือมีอคติ เป็นต้น
๒)
บำเพ็ญการสงเคราะห์ คือ ปฏิบัติตามหลัการสงเคราะห์ หรือธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวใจคน
และประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี ที่เรียกว่า สังคหวัตถุ ๔ อย่าง คือ ทาน คือการให้
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปัน ช่วยเหลือสงเคราะห์ ด้วยปัจจัยสี่ ทุน
หรือทรัพย์สินสิ่งของ ตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจ และศิลปวิทยา แก่เพื่อนร่วมสังคม
ปิยวาจา คือ เจรจาอ่อนหวาน พูดคำที่สุภาพ
อ่อนโยนและเป็นคำที่มีประโยชน์ที่ผู้ฟังได้ฟังแล้วชื่นใจ
สบายใจเห็นประโยชน์ในคำพูดนั้น พูดให้กำลังใจ เป็นต้น อัตถจริยา คือ
การบำเพ็ญตนให้เป็นคนมีประโยชน์ต่อผู้อื่น ได้แก่
การไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนมนุษย์
และไม่นิ่งดูดายเมื่อผู้อื่นขอความช่วยเหลือ
การสนับสนุนในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องดีงาม เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ในสังคม และ
สมานัตตา คือ การปฏิบัติตนสม่ำเสมอ ไม่ถือตัว ไม่หยิ่งจองหองในเมื่อได้ดีมีฐานะ ซึ่งได้แก่
การให้ความนับถือเพื่อนมนุษย์ ผู้มีฐานะศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับตน
ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามบุคคลที่ด้อยกว่าตน เป็นต้น
๘.๒.
คนผู้เป็นส่วนร่วมที่ดีของหมู่ชน
คนผู้เป็นส่วนร่วมที่ดีของหมู่ชน
ซึ่งจะช่วยให้หมู่ชนอยู่ร่วมกันด้วยดี มีธรรม คือหลักความประพฤติ ดังนี้
๑)
พึ่งตนเองได้ คือทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้ พร้อมที่จะรับผิดชอบตนเอง
ไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาหรือเป็นภาระถ่วงหมู่คณะ หรือหมู่ญาติ
ด้วนการประพฤติธรรมสำหรับสร้างที่พึ่งตนเอง เรียกว่า นาถกรณธรรม ๑๐ ประการคือ
มีศีล คือประพฤติดีมีวินัย มีพหุสัจจะ คือมีการศึกษาเล่าเรียนมาก มีกัลยาณมิตตตา
คือรู้จักคบคนดี มีโสวจัสสตา คือเป็นคนพูดง่าย ไม่กระด้างดื้อรั้น มีกิงกรณีเยสุ
ทักขตา คือ เอาใจใส่ช่วยเหลือกิจการของหมู่คณะ มีธรรมกามตา คือ
เป็นผู้ใฝ่ศึกษาหลักธรรม สิ่งดีงามทั้งหลาย มีวิริยารัมภะ คือมีความขยันหมั่นเพียร
ไม่เกียจคร้าน มีสันตุฏฐี คือ มีความรู้จักพอ ไม่โลภมาก มีสติ คือมีสติมั่นคง
มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา และมีปัญญา คือเป็นผู้เข้าใจถึงเหตุผล รู้ดีรู้ชั่ว
เป็นต้น
๒)
อยู่ร่วมในหมู่ด้วยดี ในด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่เป็นเพื่อนร่วมงาน
ร่วมกิจการ หรือร่วมชุมชน ตลอดจนพี่น้องร่วมครอบครัว พึงปฏิบัติหลักการอยู่ร่วมกัน
ที่เรียกว่า สาราณียธรรม (ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน) มี ๖ ประการคือ
มีเมตตากายกรรม ได้แก่ การเข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วย เมตตา นั่นคือ
การอยู่ด้วยกันด้วยการกระทำดีต่อกัน ไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน
แต่มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือกัน เพื่อความผาสุขร่วมกัน เป็นต้น มีเมตตาวจีกรรม
ได้แก่ การเข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา คือใช้หลักการทูต
โดยการเจรจาให้เข้าใจกัน ไม่กล่าวร้ายเสียดสีกัน เป็นต้น มีเมตตามโนธรรม ได้แก่
การเข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา คือการไม่คิดทำร้ายซึ่งกันและกัน
มีความซื่อสัตย์เคารพในความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีจิตเมตตาต่อกัน เป็นต้น
แบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้มาด้วยความชอบธรรมแก่เพื่อร่วมสังคม ได้แก่
การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งในด้านอาหาร
เครื่องอุปโภคบริโภคเครื่องมือการเกษตร ตลอดจนวิทยาการความรู้ต่างๆ
ให้แก่เพื่อนร่วมสังคม รวมตลอดถึงการรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน
ไม่ทำลายระบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดผลกระทบมวลมนุษย์ เป็นต้น
รักษาความประพฤติ(ศีล) เสมอกัน ได้แก่ การอยู่ร่วมกันอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน
มีความเสมอภาคกัน และ มีความเห็นร่วมกัน ไม่วิวาทเพราะมีความเห็นผิดกัน ได้แก่
การอยู่ร่วมกันจะต้องยอมรับในกฎกติกาทางสังคมที่กำหนดไว้
ไม่กระทำตนเสมือนว่าเป็นการฝ่าฝืนมติของสังคมก ไม่เอารัดเอาเปรียบกันหรือข่มเหงกีดกันผู้อื่น
มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและสังคมที่ตนอาศัยอยู่ด้วย
๘.๓
คนมีส่วนร่วมในการปกครองที่ดี
สมาชิกของรัฐผู้มีส่วนร่วมให้เกิดการปกครองที่ดี
โดยเฉพาะคนในสังคมประชาธิปไตย พึงรู้หลักและปฏิบัติดังนี้
๑)
รู้หลักอธิปไตย คือ รู้หลักความเป็นใหญ่ที่เรียกว่า อธิปไตย ๓ ประการคือ
อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ คือ ถือเอาตนเอง ฐานะ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ
ของตนเป็นใหญ่ ฝ่ายที่เป็นกุศลในด้านนี้คือ การเว้นจากการทำความชั่ว
มุ่งทำความดีด้วยการเคารพตนเอง โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ คือ
ถือความนิยมของชาวโลกเป็นใหญ่ หวั่นไหวไปตามเสียงนินทา สรรเสริญ เป็นต้น
ฝ่ายที่เป็นกุศลได้แก่ เว้นจากการทำชั่ว
มุ่งทำความดีด้วยการเคารพเสียงของชนหมู่มาก และ ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ
ถือหลักการ ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม เหตุผลเป็นใหญ่
กระทำด้วยการคำนึงถึงสิ่งที่ได้ศึกษา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การรู้จักพิจารณาอย่างถ่องแท้ ตามกำลังสติปัญญา
และมุ่งคิดพิจารณาด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อความดีงาม
ตามหลักโดยทั่วไปได้แก่ การรู้จักเคารพหลักการ กฎ ระเบียบ กติกา
และข้อบังคับทางสังคมหรือองค์กรนั้น ๆ
ดังนั้นหากเราต้องการถือเอาความถูกต้องเป็นใหญ่ จะต้องยึดหลักของธรรมาธิปไตย
โดยมิได้ถือตนหรือถือโลกเป็นใหญ่
๒)
มีส่วนในการปกครอง
โดยปฏิบัติตามหลักการมีส่วนร่วมรับผิดชอบที่จะช่วยป้องกันความเสื่อม
นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองโดยส่วนเดียว ที่เรียกว่า อปริหานิยธรรม คือ
หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ พร้อมเพรียงกันประชุม ไม่ทำตามอำเภอใจตนเอง
ให้เกียรติผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ ให้เกียรติและคุ้มครองสตรี เคารพสักการะโบราณสถาน
และดูแลรักษาผู้ทรงศีล
๙ สรุป
ปัญหาทุกปัญหาที่สังคมโลกและทุกประเทศ
รวมถึงสังคมไทยกำลังเผชิญอยู่นั้น เป็นบทเรียนราคาแพงที่ทุกคนได้รับ
สาเหตุที่แท้จริงของทุกปัญหานั้นมาจากเหตุเพียงเหตุเดียว คือ
ความด้อยคุณภาพของประชากร ทั้งระดับครอบครัว ระดับสังคม ระดับชาติ
จำนวนประชากรที่มีคุณภาพต่ำเป็นจำนวนมากในสังคมเหล่านั้น
ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะสร้างคุณภาพที่สูงขึ้นไปแก่ประชาชนในสังคมไทย
ปัญหาต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันนี้
เช่นปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม
ก็เกิดจากฝีมือของคนเห็นแก่ตัว
หวังเพื่อประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น
โดยไม่มองถึงความเดือดร้อนของคนอื่น
เห็นความเดือดร้อนของคนอื่นเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าคนเราแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ มองว่ามนุษย์เท่าเทียมกัน และคนเหล่านี้ไม่เอาเปรียบกันมีจิตสำนึกดี
เชื่อว่าปัญหาต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในสังคมคงจะหายไป เพราะฉนั้นคนที่เอาเปรียบคนอื่น หรือเห็นแก่ตัวควรจะมองปัญหาสังคม และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้เสีย แล้วปัญหาต่าง
ๆ ก็จะไม่ตามมา จะแก้ไขปัญหาง่ายมาก เพียงแค่คนมีจิตสำนึก รู้จักคำว่า
"หน้าที่ และมีวินัย " ปัญหาต่าง ๆ ก็คงไม่เป็นแบบวันนี้
และคงไม่ฝังรากจนเติบโตจนยากแก่การแก้ไข แต่ถ้าคิดจะแก้ไขก็คงไม่สายถ้าคิดจะทำ
กระแสความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และอิทธิพลของโลกาภิวัฒน์
ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและบุคคลในสังคม ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์
และค่านิยม
ควรที่ทุกฝ่ายทั้งอาณาจักรและศาสนจักรต้องประสานร่วมมือกันป้องกันแก้ไขปัญหาในระบบสังคม
ค่านิยม อุดมการณ์ รวมทั้งคุณธรรม จริยธรรม
และร่วมกันปลูกจิตสำนึกบุคคลในสังคมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมมากขึ้น การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำเอาหลักธรรมทางศาสนาประยุกต์เข้ากับการดำรงชีวิตในปัจจุบัน
ควบคู่กับการสร้างคุณภาพชีวิตเยาวชนผู้เป็นประชากรใหม่ของสังคมในยุคต่อๆไป
โดยสถาบันครอบครัวมีอิทธิพลต่อเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นสถาบันแรกที่ให้การอบรมทางด้านจิตใจ ให้ความรัก ความอบอุ่น เอาใจใส่ดูแล
ทะนุถนอม
ปกครองดูแลอย่างถูกต้องแล้วก็จะสามารถให้เยาวชนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและคุณธรรมได้อย่างแน่นอน
อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาให้กับสังคม ส่งผลให้สังคมมีความสงบสุข
เพราะเยาวชนในวันนี้ก็คือผู้นำและพัฒนาสังคมประเทศชาติในวันข้างหน้า
บรรณานุกรม
จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร
. สวัสดิการสังคมทางแก้วิกฤตสังคมไทย
. กรุงเทพฯ : บริษัทฟ้าอภัย , ๒๕๔๐.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตโต) . ธรรมกับการพัฒนาชีวิต .
กรุงเทพฯ : มูลนิธิพุทธธรรม ,
๒๕๓๙.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) . พุทธวิธีแก้ปัญหา
เพื่อศตวรรษที่ ๒๑ . กรุงเทพฯ
:มูลนิธิพุทธธรรม ,
๒๕๓๙.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตโต) . ธรรมนูญชีวิต .
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการศาสนา ,
๒๕๔๐.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) . พระพุทธศาสนาพัฒนาคนและสังคม . กรุงเทพฯ
: โรงพิมพ์กรมการศาสนา , ๒๕๔๒.
สมพร สุขเกษม ,
ดร . ความจริงของชีวิต . กรุงเทพฯ : สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา , ๒๕๔๒ .
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ . สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์
. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมศาสนา , ๒๕๓๐ .
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น