ศีล ทิฏฐิ ในพรหมชาลสูตรกับแก้ปัญหาสังคมปัจจุบัน
วิเคราะห์ ศีล ทิฏฐิ ในพรหมชาลสูตรกับแก้ปัญหาสังคมปัจจุบัน
Sila dhidhi in phramchalasuttra with the current
society
๑ บทนำ
จากปัญหาของคนในสังคมทางจิตใจและศีลธรรม
และด้านความคิดที่มีอยู่ในสังคมที่มีอยู่ตั้งแต่ในอดีตจนถึงในปัจจุบัน ส่งผลสะท้อนด้วยสภาพแวดล้อมในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง
และจิตใจของคนในสังคมที่ยังขาดศีลธรรม ในการดำรงชีวิต จากสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น
สังคมจะอยู่ในรูปแบบใด
ถ้าเราเอาแต่ตามใจตนเองโดยไม่นึกถึงส่วนรวมนึกถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยความเห็นของตัวเอง
สังคมจะเป็นสังคมที่ดีและสงบสุขไม่ได้หากแต่สังคมยังขาดเรื่องศีลธรรม
และมีความเห็นทัศนะที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นศีลธรรม
ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของสังคมระดับต้นสำหรับให้สมาชิกสังคมประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบสุข
สังคมที่สงบสุข ไว้วางใจกันได้
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ไม่เบียดเบียนไม่ทะเลาะ ไม่กดขี่ข่มเหง
ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นต้น สังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผู้คนในสังคมมีการเบี่ยงเบนความสัมพันธ์ไปจากเดิม
และสถาบันทางสังคมก็ทำหน้าที่ไม่ครบสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดปัญหาสังคม
ปัญหาสังคมมีอยู่มากมาย ปัญหาความเสื่อมโทรมทางจิตใจและศีลธรรม
เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับคนในสังคม พฤติกรรมที่จะทำให้เกิดความเจริญและความเสื่อมของมนุษย์
เพราะการศีลธรรมกำกับ ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากมีความเห็นหรือทัศนะที่ผิดไปจากธรรมนองคลองธรรม
ทางพระพุทธศาสนาในคัมภีร์ทีฆนิกาย[๒]
เป็นนิกายแรกของพระสุตตันตปิฎก ซึ่งพระสุตตันตปิฎกมีทั้งหมด
๕ นิกาย ได้แก่ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย สำหรับคัมภีร์ทีฆนิกาย
หมายถึงประมวลพระสูตรที่มีขนาดยาว รวมทั้งสิ้น ๓๔ สูตร คัมภีร์ทีฆนิกาย แปลว่า หมวดว่าด้วยพระสูตรที่มีขนาดยาว
หมายถึง หมวดที่รวบรวมพระสูตรขนาดยาวไว้ส่วนหนึ่ง แบ่งออกเป็น ๓ วรรค คือ สีลขันธวรรค
มหาวรรค และปาฏิกวรรค แต่ละวรรคตั้งชื่อตามเนื้อหาพระสูตรบ้าง ตั้งตามชื่อพระสูตรบ้าง
เช่น สีลขันธวรรค สูตรแรกพูดถึงเรื่องศีลจึงตั้งชื่อว่า สีลขันธวรรค ในมหาวรรคสูตรแรกชื่อว่ามหาปทานสูตร
จึงตั้งชื่อว่า มหาวรรค ในปาฏิกวรรค สูตรแรกชื่อปาฏิกสูตรจึงตั้งชื่อว่า ปาฏิกวรรค
โดยเฉพาะประเด็นที่จะนำมากล่าวนั้นเฉพาะในพรหมชาลสูตร ได้กล่าวถึงเรื่องของศีล
และความเห็น (ทิฏฐิ) ในรูปแบบต่างๆ จึงได้นำส่วนนี้มาเป็นประเด็นในการวิเคราะห์
โดยกำหนดเอาประเด็นหลักจากพระสูตรมาเชื่อมโยงสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน
เพื่อเป็นแนวทางในการตีความประยุกต์ใช้ต่อไป
๒.
ความหมาย
พระพุทธศาสนาเผยแพร่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
ส่วนในอเมริกาก็ดี ในยุโรปก็ดี ยังมีส่วนน้อยแต่โดยเฉพาะในแถบเอเชีย ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเป็นเวลาช้านานมาแล้ว
เช่น ไทย พม่า ศรีลังกา ลาว เขมร การที่พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรือง ไปในดินแดนต่าง
ๆ จากแหล่งเดิม คือประเทศอินเดียหรือที่เรียกกันว่า ดินแดนแห่งชมพูทวีป ก็เพราะอาศัยเหล่าสมณะทูตต่าง
ๆ ได้ช่วยกันออกประกาศเผยแพร่หลักคำสอนพระพุทธศาสนาให้ประชาชนในดินแดนต่าง ๆ มีศรัทธาเลื่อมใสยอมรับนับถือปฏิบัติตาม
พระพุทธศาสนาได้ผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น จนกลายเป็นสัญลักษณ์พระพุทธศาสนาแบบประเทศนั้น
ๆเช่น พระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา ประเทศไทย และประเทศจีน[๓] พระพุทธศาสนามีหลักธรรมคำสั่งสอนต่าง
ๆ มากมาย แต่สามารถสรุปได้ ๒ ประการ คือ ๑) คำสอนที่ควรประพฤติปฏิบัติตาม
เรียกว่า “ธรรม” และ ๒) คำสั่งที่ต้องปฏิบัติ ตามเพื่อความสงบสุขของสังคมเรียกว่า “วินัย” หรือ “ศีล” ดังพระพุทธพจน์ซึ่งตรัสเป็นปัจฉิม วาจาว่า “อานนท์พวกเธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า
อีกไม่นานพระธรรมวินัย จักมีศาสดาล่วงลับไปแล้วพระศาสดาของเราก็จักไม่มีแล้ว อานนท์
เธอทั้งหลาย อย่าพึงเห็นอย่างนี้ อานนท์ ธรรมและวินัยอันใด ซึ่งเราได้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่เธอทั้งหลาย
ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยการล่วงไปของเรา”[๔] พระวินัยที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหลักพุทธจริยธรรมขั้นต้นหรือขั้นพื้นฐานในการประพฤติปฏิบัติของคนในสังคม
ที่จำเป็นจะให้สังคมมนุษย์อยู่โดยปกติสุข และแต่ละคนมีชีวิตที่ไม่เป็นโทษภัย ได้แก่หลักการว่าด้วย
“ศีลหรือวินัย” และเนื่องจากพระพุทธศาสนาแบ่งสังคมมนุษย์ออกเป็น
๒ ระดับใหญ่ๆ คือ ๑) อนาคาริก คือสังคมของผู้ไม่มีเรือน ไม่มีครอบครัว
ได้แก่นักบวช สมณะ หรือบรรพชิต ๒) อาคาริก คือสังคมของชาวบ้านผู้ครองเรือน
ผู้มีเรือนมีครอบครัวเรียกว่าฆราวาส หรือคฤหัสถ์[๕]
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงแสดงหลักการว่าด้วย “ศีลหรือวินัย”
ไว้ ๒ ระดับ เช่นเดียวกัน ได้แก่๑) อนาคาริยวินัย
วินัยสำหรับบรรพชิต และ ๒) อาคาริยวินัย วินัยสำหรับคฤหัสถ์ ได้แก่
ศีล ๕[๖]
วินัยสำหรับบรรพชิตหรือวินัยสงฆ์หมายถึงระเบียบแบบแผนสำหรับฝึกฝนควบคุม ความประพฤติของพระภิกษุสงฆ์ให้มีชีวิตที่ดีงาม
และควบคุมหมู่พระภิกษุสงฆ์ให้อยู่รวมกันด้วย ความสงบเรียบร้อยดีงาม[๗] วินัยสำหรับบรรพชิตหรือวินัยสงฆ์หมายถึงระเบียบแบบแผนสำหรับฝึกฝนควบคุมความประพฤติของพระภิกษุสงฆ์ให้มีชีวิตที่ดีงาม
และควบคุมหมู่พระภิกษุสงฆ์ให้อยู่รวมกันด้วยความสงบเรียบร้อยดีงาม[๘] โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑)
อาทิพรหมจริยกาสิกขา หมายถึง หลักการศึกษาอบรม ในฝ่ายบทบัญญัติ หรือข้อปฏิบัติอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์เรียกว่า “พุทธบัญญัติ” และ ๒) อภิสมาจาริกาสิกขา หมายถึง หลักการศึกษาอบรมในฝ่ายอาบัติต่าง
ๆ เหล่านี้มีโทษหนักเบาแตกต่างกันใน ๓ ระดับ คือ ๑) โทษอย่างหนัก
ให้ ขาดจากความเป็นภิกษุ คืออาบัติปาราชิก ๒) โทษอย่างกลางรองมาจากปาราชิก
คือสังฆาทิเสส เป็นครุกาบัติแต่ยังเป็นสเตกิจฉา คือแก้ไขหรือเยียวยาได้ โดยการเข้าอยู่ปริวาสกรรม
และ ๓) โทษอย่างเบา คืออาบัติ๕ กองที่เหลือ คือถุลลัจจัย ปาจิตตีย์
ปาฏิเทสนียะ ทุกกฎ และทุพภาสิต ซึ่งผู้ละเมิดต้องประกาศสารภาพผิดหน้าพระภิกษุด้วยกันที่เรียกว่า
“ปลงอาบัติ” จึงจะพ้นจากอาบัติเหล่านี้[๙] ขนบธรรมเนียมเกี่ยวกับมารยาท และ ความเป็นอยู่ที่ดีงามของพระสงฆ์
เรียกว่า “อภิสมาจาร” โดยเฉพาะพระวินัยในส่วนที่เป็นพุทธบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นพุทธอาณาเพื่อ
ป้องกันความประพฤติเสียหายและวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดโดยปรับเป็น “อาบัติ” ต่าง ๆ มี ๗ กอง ได้แก่ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย
ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะทุกกฎ และทุพภาสิต โดย จัดเป็นอาบัติที่มาในพระปาฏิโมกข์ ๒๒๗
สิกขาบท (ข้อ) ได้แก่ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส
๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ และอธิกรณสมถะ
๗
อาบัติต่าง
ๆ เหล่านี้มีโทษหนักเบาแตกต่างกันใน ๓ ระดับ คือ ๑) โทษอย่างหนัก ให้ขาดจากความเป็นภิกษุ
คืออาบัติปาราชิก ๒) โทษอย่างกลางรองมาจากปาราชิก คือสังฆาทิเสส
เป็นครุกาบัติแต่ยังเป็นสเตกิจฉา คือแก้ไขหรือเยียวยาได้ โดยการเข้าอยู่ปริวาสกรรม
และ ๓) โทษอย่างเบา คืออาบัติ๕ กองที่เหลือ คือถุลลัจจัย ปาจิตตีย์
ปาฏิเทสนียะ ทุกกฎ และทุพภาสิต ซึ่งผู้ละเมิดต้องประกาศสารภาพผิดหน้าพระภิกษุด้วยกันที่เรียกว่า
“ปลงอาบัติ” จึงจะพ้นจากอาบัติเหล่านี้[๑๐] ส่วนวินัยของคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนโดยทั่วไป
ได้แก่ ศีล ๕ หรือเบญจศีล คำว่า “ศีล” หมายถึงความประพฤติชอบทางกายและวาจาให้เรียบร้อย
การรักษาปกติตามระเบียบวินัย ข้อปฏิบัติในการเว้นจากการทำความชั่ว[๑๑] เบญจศีลจึงเป็นพื้นฐานของการทำความดีสำหรับคฤหัสถ์หรือผู้ครองเรือนมี
๕ ประการ ได้แก่ ๑) ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์
๒)อทินนาทานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้๓)
กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ๔)
มุสาวาทา เวรมณี เจตนา งดเว้นจากการพูดเท็จ และ ๕) สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการเสพของมึนเมา คือสุราและเมรัย
อันเป็นเหตุแห่งความประมาท[๑๒] ส่วนเจตนารมณ์ของศีลอยู่ที่เจตนา
ได้แก่ การไม่คิดล่วงละเมิด คำว่า “ละเมิด”หมายถึง ๑) ละเมิดระเบียบ ละเมิดกฎเกณฑ์ บทบัญญัติ ละเมิดวินัยที่วางกันไว้หรือ
๒) ละเมิดต่อผู้อื่น เจตนาที่จะเบียดเบียนผู้อื่น ดังนั้น ศีล
จึงหมายถึงการไม่เจตนาละเมิดระเบียบวินัยหรือการไม่เจตนาล่วงเกินเบียดเบียนผู้อื่น
ถ้ามองแต่อาการหรือการกระทำ ศีลก็คือการไม่ละเมิดและการไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง[๑๓]
พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
เป็นผู้ออกจากเรือน สละเรือนหรือครอบครัวและทรัพย์สมบัติในทางโลก หันมาดำเนินชีวิตแบบอนาคาริก
เป็นผู้ไม่มีเรือน เพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต คือความหลุดพ้น หรือพระนิพพาน อันเป็นจุดหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาหรืออาจกล่าวได้ว่าพระสงฆ์คือผู้สละวิถีชีวิตแบบอาคาริกมาดำเนินชีวิตแบบอนาคาริกโดยยึดถือพระธรรมวินัยเป็นกรอบแห่งการดำเนินชีวิตที่สำคัญ[๑๔] โดยเฉพาะพระวินัยของพระสงฆ์นั้นถือว่าเป็นกฎ ข้อบังคับระเบียบแบบแผน ตลอดจนธรรมเนียมประเพณีของสงฆ์ในการฝึกฝนแลพัฒนาตนเองที่สำคัญที่สุด
อาจเทียบได้กับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศในปัจจุบัน โดยอาจถือว่าพระวินัยเป็นกฎหมายฐธรรมนูญของพระสงฆ์ทั่วทั้งสังฆมณฑล
เพียงแต่พระวินัยของสงฆ์นั้น มิได้เป็นพุทธบัญญัติที่ได้บัญญัติเอาไว้ก่อนดังกฎหมายแต่เป็นพุทธบัญญัติที่เกิดขึ้นหลังจากมีการกระทำผิด
ประพฤติเสื่อมเสียในสังคมสงฆ์แล้ง จึงทรงตั้งพระบัญญัติห้ามมิให้พระภิกษุทำอย่างนั้นต่อไปพร้อมทั้งทรงกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือล่วงละเมิด
เรียกว่า “ปรับอาบัติ” มี๗ ประการ คือปาราชิก
สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏฎ และทุพภาสิตโดยที่อาบัติปาราชิกมีโทษหนักทำให้ผู้ล่วงละเมิดขาดจาดความเป็นภิกษุ
ส่วนอาบัติสังฆาทิเสสมีโทษปานกลาง ผู้ล่วงละเมิดต้องอยู่กรรม คือประพฤติวัตรอย่างหนึ่ง
จึงจะพ้นจากอาบัตินี้ และอาบัติ๕ กอง ที่เหลือมีโทษเบา ผู้ล่วงละเมิดต้องประกาศสารภาพผิดต่อหน้าภิกษุด้วยกันดังที่เรียกว่า
“ปลงอาบัติ” จึงจะพ้นจากอาบัติเหล่านี้[๑๕]
พระวินัยทั้งหมดที่ทรงบัญญัติขึ้นทั้งในส่วนที่เป็นพุทธบัญญัติและอภิสมาจารนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแจ้งวัตถุประสงค์หรือประโยชน์แห่งการบัญญัติพระวินัยโดยทั่วไปไว้ถึง
๑๐ ประการด้วยกัน และวัตถุประสงค์ ๑๐ ประการเหล่านี้ก็คือ “เจตนารมณ์โดยทั่วไป”[๑๖] ของพระวินัยนั่นเอง ซึ่งเจตนารมณ์เหล่านี้ ได้แก่ ๑) เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๒) เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์๓)
เพื่อข่มบุคคลผู้เกื้อยาก ๔) เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งเหล่าภิกษุผู้มีศีลดีงาม
๕)เพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๖)
เพื่อกำจัดอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในอนาคต ๗) เพื่อความเลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส ๘) เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปของคนที่เลื่อมใสแล้ว
๙) เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัทธรรม ๑๐) เพื่อเอื้อเฟื้อวินัย[๑๗]
เนื้อหาโดยย่อของพระสูตรโดยย่อ
จากพระสูตร เมื่อครั้งที่ พระพุทธเจ้าพร้อมหมู่พระสงฆ์ขณะเดินทางระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทานั้น
มีปริพพาชกชื่อสุปปิยะ ซึ่งกล่าวติเตียนพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ มีศิษย์ชื่อพรหมทัตมาณพเดินตามหลังไปอยู่นั้นกล่าวสรรเสริญฯ
เมื่อเข้าสู่ที่พักแรมตอนกลางคืน พวกภิกษุจึงนาเรื่องศิษย์กับอาจารย์กล่าวขัดแย้งกันสู่การสนทนา
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาและทรงทราบเรื่อง จึงตรัสเตือนไม่ให้โกรธเมื่อมีผู้ติเตียน
ไม่ให้ยินดีหรือเหลิงเมื่อมีผู้สรรเสริญ แล้วตรัสสอนว่า คนอาจกล่าวชมเชยพระองค์ด้วยศีล
๓ ชั้น คือศีลอย่างเล็กน้อย ศีลอย่างกลาง ศีลอย่างใหญ่ ดังนี้[๑๘] “ภิกษุทั้งหลาย ถึงคนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเตียนเรา
กล่าวติเตียนพระธรรมหรือกล่าวติเตียนพระสงฆ์ก็ตาม พวกเธอไม่ควรผูกอาฆาตแค้นเคืองขุ่นใจในคนพวกนั้น...”
“ภิกษุทั้งหลาย ถึงพวกคนเหล่าอื่นจะพึงกล่าวยกย่องเรา กล่าวยกย่องพระธรรม
หรือกล่าวยกย่องพระสงฆ์ก็ตาม พวกเธอไม่ควรทาความรื่นเริงดีใจหรือกระหยิ่มใจต่อพวกเขา...”[๑๙] พระพุทธองค์ตรัสว่า “...ข้อที่ปุถุชนกล่าวยกย่องตถาคต ก็พึงกล่าวด้วยเรื่องเล็กน้อยต่าต้อย เพียงเรื่องระดับศีลเท่านั้น”[๒๐]
ซึ่งจะได้กล่าวถึงเรื่องศีลและทิฏฐิในพรหมชาลสูตรโดยละเอียด
๓ ศีล
ในพรหมชาลสูตร
คำว่า “ศีล” มาจากคำว่า “สีลนะ”
แปลว่า มูลราก กล่าวคือพฤติกรรมที่ถูกควบคุมอย่างดี หมายถึง ๑)
ควบคุมกายและวาจาให้เรียบร้อยไม่ให้กระจัดกระจายให้มีระเบียบอันดี (สมาธาน)๒) รองรับหรือเป็นที่ตั้งอาศัยแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย
(อุปธารณ) อนึ่ง ศีลนี้ คือ ข้อปฏิบัติตนขั้นพื้นฐานที่ควบคุมพฤติกรรมทางกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในความดีงามมีความปกติสุข
และไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกันของบุคคลในสังคม ในพรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้า ทรงประกาศศีล ๓ ระดับคือจูฬศีล
มัชฌิมศีล และมหาศีล สาหรับพระภิกษุ เป็นศีลที่สอดคล้องกับศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล
๒๒๗ ซึ่งมุ่งเน้นเป็นหลักปฏิบัติสาหรับบรรพชิตคือการรักษาพรหมจรรย์ เรื่องศีล ๓ ระดับ
พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่างแล้ว ทรงชี้ให้เห็นว่า ปุถุชนที่กล่าวยกย่องพระองค์นั้น
อาศัยศีลเป็นสาเหตุทั้งสิ้น โดยบางคนยกย่องเพราะจูฬศีลบ้าง เพราะมัชฌิมศีลบ้าง หรือเพราะมหาศีลบ้าง
ศีลทั้ง ๓ ระดับ มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
๑) ศีลอย่างเล็กน้อย
(จูฬศีล)
ในจูฬศีล มีทั้งหมด ๒๖ ข้อ บางข้อมีความสอดคล้องกับศีล
๕ และศีล ๘ ในปัจจุบัน เช่น ๑) เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ ประพฤติล่วงพรหมจรรย์ ๒) การพูดเท็จ พูดคาส่อเสียด พูดคาหยาบ พูดคาเพ้อเจ้อ ๓) เว้นขาดจากการทาลายพืชและต้นไม้ ๔) ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี
งดจากการฉันในเวลาวิกาล เว้นขาดจากการฟ้อนรา ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล
เว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิว
เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจากการรับทองและเงิน ๕)
เว้นขาดจากการรับข้าวเปลือกดิบ เนื้อดิบ เว้นขาดจากการรับหญิง หรือหญิงรุ่นสาว
เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส เว้นขาดจากการรับแพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา เว้นขาดจากการรับไร่
นา สวน ๖) เว้นขาดจากการชักสื่อ การซื้อการขาย การโกงด้วยตราชั่ง
การโกงด้วยของปลอมและการโกงด้วยเครื่องตวงวัด การรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง
เว้นจากการการตัด (มือ,เท้า) การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้นและการกรรโชก
๒) ศีลอย่างกลาง
(มัชฌิมศีล)
ศีลอย่างกลาง มีทั้งหมด ๑๐ ข้อ บางข้อมีความสอดคล้องกับศีล
๘ และศีล ๑๐ ในปัจจุบัน ได้แก่ ๑) เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม[๒๑]
๒) เว้นขาดจากการการบริโภคของที่สะสมไว้ เช่น สะสมข้าว
น้า ผ้า ยาน ที่นอน เครื่องประทินผิว ของหอมและอามิส ๓) เว้นขาดจากดูการละเล่นหลายชนิด
เช่น การฟ้อนรา ขับร้องประโคมดนตรี ๔) เว้นขาดจากการขวนขวายในการเล่นการพนัน
๕) เว้นขาดจากที่นอนอันสูงใหญ่ ๖) เว้นขาดจากการประดับตกแต่งร่างกาย
๗) เว้นขาดจากเดรัจฉานกถา ๘) เว้นขาดจากการพูดทุ่มเถียงแก่งแย่งกัน
๙) เว้นขาดจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและผู้สื่อสาร (การประกอบทูตกรรมและการรับใช้) ๑๐) เว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและการพูดเลียบเคียง
๓) ศีลอย่างใหญ่ (มหาศีล)
ศีลอย่างใหญ่ มีทั้งหมด ๗ ข้อ เป็นศีลที่มีความสอดคล้องกับภิกษุศีล
๒๒๗ และ ภิกษุณีศีล ๓๑๑ ในปัจจุบัน ได้แก่ ๑) เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดหรือมิจฉาชีพ
ด้วยติรัจฉานวิชาหรือเดรัจฉานวิชา เช่น ทานายอวัยวะ ทำนายโชคลาง ทานายฝัน พิธีเบิกแว่นเวียนเทียน
วิชาทาเสน่ห์ วิชาตั้งศาลพระภูมิ เป็นต้น ๒) เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิด
ด้วยเดรัจฉานวิชา เช่น ทำนายลักษณะแก้วมณี ลักษณะไม้พลอง ลักษณะผ้า ลักษณะศัสตรา เป็นต้น
๓) เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิด ด้วยเดรัจฉานวิชา เช่น ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า
พระราชาจักเสด็จหรือไม่เสด็จ ๔) เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิด ด้วยเดรัจฉานวิชา
เช่น พยากรณ์ว่าจักมีจันทรคราส สุริยคราส เป็นต้น ๕) เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิด
ด้วยเดรัจฉานวิชา เช่น พยากรณ์ว่าฝนจะดี ฝนจะแล้ง ๖) เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิด
ด้วยเดรัจฉานวิชา เช่น ให้ฤกษ์อาวาหมงคล วิวาหมงคล ๗) เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิด
ด้วยเดรัจฉานวิชา เช่น การบนบาน แก้บน ร่ายมนตร์ขับผี ตั้งศาลพระภูมิ เป็นต้น คำว่า
ติรัจฉานวิชา คือถ้อยคำอันขวางทางไปสู่สวรรค์ นิพพาน หมายถึงเรื่องราวที่ภิกษุไม่ควรนำมาเป็นข้อถกเถียง
สนทนากัน[๒๒] ฝรั่งใช้คาว่า Low Arts เมื่อพิจารณาตามศัพท์
“ติรัจฉาน” ซึ่งแปลว่า “ไปขวาง”
ก็หมายความว่า วิชาเหล่านี้ขวาง หรือไม่เข้ากับความเป็นสมณะ มิได้หมายความว่า
เป็นวิชาของสัตว์เดรัจฉาน เพราะฉะนั้น ถ้อยคำที่พระไม่ควรพูด จึงจัดเป็นติรัจฉานกถา
คือถ้อยคำที่ขวาง หรือขัดกับสมณสารูป วิชาที่พระไม่ควรเกี่ยวข้องจึงจัดเป็น ติรัจฉานวิชา
คือวิชาที่ขวาง หรือขัดกับพระ ส่วนสัตว์ติรัจฉานที่มีชื่ออย่างนั้น เพราะเพ่งกิริยาที่ไม่ได้ตั้งตัวตรง
เดินไปอย่างคนแต่เอาตัวลงเอาศีรษะไปก่อน เมื่อไม่ได้ไปตรง ก็ชื่อว่าไปขวาง
ดังนั้นหลักการด้านศีล ระดับสูง ระดับกลาง และธรรมดานั้น ธรรม วินัย
ข้อระเบียบต่างๆเกิดขึ้นจากการไม่เข้าใจหรือไม่ได้เข้าถึงความเป็นจริงด้านศาสนาและขาดการถือปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธศาสนา
๔ ทิฏฐิ
ในพรหมชาลสูตร
คำว่า ทิฏฐิ แปลว่า ความเห็น ในพระพุทธศาสนาใช้ในความหมายเดียวกับ "มิจฉาทิฐิ" คือความเห็นผิด หมายถึง ความเชื่อถือ
ลัทธิ ทฤษฎี ความเข้าใจตามแนวเหตุผล ข้อที่เข้ากับความเห็นของตน รวมถึงอุดมการณ์ โลกทัศน์และชีวทัศน์ต่างๆ
ตลอดจนทัศนะพื้นฐานที่สืบเนื่องมาจากความเห็น ความเข้าใจ และความใฝ่นิยมเหล่านั้น [๒๓]
นอกจากศีลแล้ว ในพรหมชาลสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้ายังตรัสถึงทิฏฐิ
๖๒ ประการ ซึ่งทรงรวบรวมมาจากความคิดเห็นของคนในสังคมสมัยนั้นอย่างเป็นระบบระเบียบ
วางเป็นหลักศึกษา เพื่อจะทรงชี้ว่า เป็นลัทธิที่ไม่ได้ทาให้หลุดพ้นจากทุกข์ เป็นหนทางที่สุดโต่ง
มิใช่มัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งทิฏฐิต่างๆ เหล่านั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ ซึ่งไม่มีความรู้แท้จริง
เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น เป็นความเห็นที่ผิดแผกจากหลักความเชื่อทางพระพุทธศาสนา
ทิฏฐิ ๖๒ ประการ มีรายละเอียด และทิฏฐิ คืออะไร ในที่นี้ หมายถึงทิฏฐิแบบไหน มีทั้งหมดเท่าไร
ทิฏฐิเบื้องต้นกล่าวถึงเรื่องไร ทิฏฐิเบื้องปลายกล่าวถึงเรื่องอะไร ความสงสัยทั้งหมดนี้
จักได้กล่าวอธิบายในพรหมชาลสูตร โดยลาดับดังนี้ พรหมชาลสูตร[๒๔]
ว่าด้วยข่ายอันประเสริฐ คาว่า ข่ายอันประเสริฐ
หมายถึงพระสัพพัญญุต ญาณของพระพุทธเจ้า ที่เป็นเหตุให้ทรงรู้ทิฏฐิ หรือ ลัทธิต่างๆ
ที่แพร่หลายอยู่ในสมัยพุทธกาลอย่าง แจ่มแจ้ง โดยมีชื่อเรียกอีก ๔ ชื่อคือ อัตถชาลสูตร
(ข่ายแห่งประโยชน์) ธัมมชาลสูตร (ข่ายแห่งธรรม) ทิฏฐิชาลสูตร (ข่ายแห่งทิฏฐิหรือลัทธิ)
และ สังคามวิชยสูตร (ตาราพิชัยสงครามใช้สู้มารทั้งหลาย)[๒๕]
๔.๑ ทิฏฐิ ๖๒ ประการ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงความเห็นผิด
๖๒ ประการของสมณพราหมณ์ในครั้งนั้น คือ พวกที่มีความเห็นปรารภเบื้องต้นของสิ่งต่างๆ
ว่าเป็นมาอย่างไร
(ปุพพันตกัปปิกะ) ๑๘ ประเภท กับพวกที่มีความเห็นปรารภเบื้องปลายของสิ่งต่างๆ
ว่าจะลงสุดท้ายอย่างไร (อปรันตกัปปิกะ) ๔๔ ประเภท (รวมเป็น ๖๒) ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย มีธรรมเหล่าอื่นอีกที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
สงบประณีต ใช้เหตุผลคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคต รู้แจ้งได้เองแล้วสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามอันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตถูกต้องตามความเป็นจริง
ก็ธรรมที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ... อันเป็นเหตุให้คนกล่าวยกย่องตถาคตตามความเป็นจริง...”[๒๖] แล้วตรัสถึงทิฏฐิหรือทฤษฎี ๖๒ ซึ่งสามารถจัดเป็นกลุ่มแนวคิดได้
๒ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มปุพพันตกัปปิกวาทะ (ลัทธิที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต)
๑๘ ลัทธิ และกลุ่มอปรันตกัปปิกวาทะ (ลัทธิที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตและปัจจุบัน)
๔๔ ลัทธิ ดังต่อไปนี้
๔.๒ ความเห็นปรารภเบื้องต้น ๑๘
ทิฎฐิที่เป็นความเห็นปรารภเบื้องต้น (ปุพพันตกัปปิกะ) เป็นการแสดงความเชื่อถือเรื่องอัตตา(ตัวตน) และเรื่องโลกคือ ภพ ภูมิ ต่าง ๆ ที่คนและสัตว์ไปถือกาเนิดและอาศัยอยู่ในส่วนอดีตนั่นเอง
เช่น พวกหนึ่งเห็นว่าเที่ยง เพราะพวกเขาระลึกชาติก่อนของตนได้ มี ๔ พวก ตามระยะเวลาสั้นยาวที่ตนระลึกชาติได้
จัดเป็นพวกสัสสตวาที คือพวกที่มีความเห็นว่า อัตตา และโลกเที่ยง เป็นต้น ทิฏฐิหรือความเห็นประเภทนี้ (ปุพพันตกัปปิกะ) ที่มี ๑๘ นั้น แบ่งออกเป็น ๕ หมวดได้แก่
หมวดที่เห็นว่าเที่ยง (สัสสตวาทะ) ๔ หมวดที่เห็นว่าบางอย่างเที่ยง
บางอย่างไม่เที่ยง (เอกัจจสัสสติกะ เอกัจจอสัสสตกะ) ๔ หมวดที่เห็นว่ามีที่สุดและหาที่สุดมิได้ (อันตานันติกะ)
๔ หมวดที่พูดซัดส่ายไม่ตายตัวเหมือนปลาไหล (อมราวิกเขปิกะ)
๔ และหมวดที่เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนะ) ๒ รวมเป็น ๑๘
๔.๓ ความเห็นปรารภเบื้องปลาย ๔๔
ทิฎฐิ ที่เป็นความเห็นปรารภเบื้องปลาย (อปรันตกัปปิกะ) เป็นการแสดงความเชื่อถือเรื่องอัตตา(ตัวตน) และเรื่องโลกคือ ภพ ภูมิ ต่าง ๆ ที่คนและสัตว์ไปถือกำเนิดและอาศัยอยู่
เป็นลัทธิที่แสดงทรรศนะเรื่องขันธ์(ชีวิต) ในอนาคตและปัจจุบัน ที่มี ๔๔ นั้น แบ่งออกเป็น ๕ หมวด ได้แก่ หมวดที่เห็นว่ามีสัญญาความจำได้หมายรู้
(สัญญีวาทะ) ๑๖ หมวดที่เห็นว่าไม่มีสัญญา
(อสัญญีวาทะ) ๘ หมวดที่เห็นว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่
ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ) ๘ หมวดที่เห็นว่าขาดสูญ (อุจเฉทวาทะ) ๗ หมวดที่เห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ทิฏฐิธัมมนิพพานวาทะ)
๕ รวมเป็น ๔๔
ในที่สุดได้ตรัสสรุปว่า สมณพราหมณ์ทุกพวกที่มีทิฏฐิความเห็นต่าง
ๆ รวม ๖๒ ประการเหล่านี้ ย่อมได้เสวยอารมณ์ เพราะอาศัยอายตนะสาหรับถูกต้อง ๖ อย่าง ( คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เพราะเหตุที่เสวยอารมณ์จึงเกิดตัณหาความทะยานอยาก
เพราะเหตุที่มีความทะยานอยาก จึงมีความยึดมั่นถือมั่น เพราะเหตุที่มีความยึดมั่นถือมั่น
จึงมีภพ คือความมี ความเป็น เพราะเหตุที่มีความมีความเป็น (ภพ)
จึงมีชาติ คือความเกิด เพราะเหตุที่มีความเกิด จึงมีความแก่ ความตาย
ความเศร้าโศก คร่ำครวญ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ และความคับแค้นใจ (ปฏิจจสมุปบาท) สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมติดอยู่ในข่ายแห่งความเห็นทั้ง
๖๒ นี้เหมือนปลาติดข่ายฉะนั้น[๒๗]
จากพุทธพจน์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าทิฏฐิทั้ง ๖๒ ของพวกพราหมณ์นั้นเป็นไปตามขบวนการปฏิจจสมุปบาทสายเกิดทุกข์นั้นเอง
ทรงอุปมาว่า พวกสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกทิฏฐิ
๖๒ นี้ ซึ่งเป็นดุจตาข่ายปกคลุมเอาไว้ ตกอยู่ในตาข่ายนี้ เมื่อโผล่ขึ้นก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้
ติดอยู่ในตาข่ายนี้เอง เปรียบเหมือนชาวประมง หรือลูกมือชาวประมง ผู้ชำนาญ ใช้แหตาถี่ทอดลงหนองน้ำเล็กๆ
เขาคิดว่า บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ในหนองน้ำแห่งนี้ทั้งหมดถูกแหครอบเอาไว้ อยู่ในแหนี้ เมื่อผุดขึ้นก็ผุดอยู่ในแหนี้
ติดอยู่ในแหนี้ ถูกครอบเอาไว้ในแห่งนี้ กายของพระองค์ขาดตัณหาที่พาไปสู่ภพเสียแล้ว
เทวดาและมนุษย์จักเห็นกายของตถาคตได้ชั่วเวลายังดารงอยู่ หลังจากกายแตกสลายไปเพราะสิ้นชีวิตแล้ว
เทวดาและมนุษย์จักไม่เห็นกายนั้นอีก เปรียบเหมือนผลมะม่วงที่หลุดจากขั้ว เมื่อแสดงธรรมจบพระอานนท์ได้ทูลถามชื่อธรรมบรรยายนี้
พระองค์ตรัสว่า “อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า ข่ายแห่งประโยชน์
(อรรถชาละ) ก็ได้ ข่ายแห่งธรรม (ธรรมชาละ) ก็ได้ ข่ายแห่งสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ
(พรหมชาละ) ก็ได้ ข่ายแห่งทิฏฐิ (ทิฏฐิชาละ) ก็ได้ตาราพิชัยสงคราม (สังคามวิชัย) อันยอดเยี่ยมก็ได้”[๒๘]
กล่าวโดยสรุป ทิฏฐิ ทรรศนะ หรือ ลัทธิทั้ง
๖๒ อย่างนี้ เป็นเรื่องแสดงความเชื่อถือเรื่องอัตตา คือ อาตมัน ที่ศาสนาพราหมณ์ถือว่าสืบทอดมาจากพระพรหม (พรหมัน หรือ ปรมาตมัน) และเรื่องโลกคือ ภพ ภูมิต่างๆ
ที่สัตว์ถือกำเนิดและอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นกระแสแห่งความเชื่อที่มีการสืบทอดกันมาอย่างช้านาน
๕. วิเคราะห์ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับศีลและทิฏฐิในพรหมชาลสูตรกับการแก้ปัญหาสังคมปัจจุบัน
จากการศึกษาวิเคราะห์ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับศีลและทิฏฐิในพรหมชาลสูตรกับสังคมปัจจุบัน
นั้น ทำให้มองเห็นประเด็น ในการวิเคราะห์เชิงมุมองในแง่มุมของการใช้หลักการ และนำความเห็นในปัจจุบันมาเปรียบเทียบ
ซึ่งมองเห็นประเด็นดังนี้
๑) เหตุใดจึงต้องนาพรหมชาลสูตรมาแสดงไว้เป็นพระสูตรแรกในพระสุตตันตปิฎก
พระสูตรในพระสุตตันตปิฎก มิได้ถูกเรียบเรียงตามกาลเวลาที่พระสูตรถูกแสดง แต่ถูกจัดเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ตามความเหมาะสม
พระสูตรแรกที่ถูกแสดงไว้ในพระสุตตันตปิฎกคือ “พรหมชาลสูตร”
อยู่ในพระสุตตันตปิฎก มีข้อสังเกตว่า
พระพุทธเจ้าทรงแสดง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรไว้เป็นพระสูตรแรก หลังตรัสรู้ เหตุใดจึงไม่นำธัมมจักกัปปวัตตนสูตรมาแสดงเป็นพระสูตรแรกในพระสุตตันตปิฎก
แต่กลับนาพรหมชาลสูตรมาแสดงไว้เป็นพระสูตรแรก
การเรียบเรียงลำดับของพระสูตรเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลอันลึกซึ้ง
ซึ่งพระอรหันต์ทั้งหลายที่ได้ร่วมกันทาการสังคายนาได้พิจารณาไว้ดีแล้ว ในที่นี้จะขอวิเคราะห์เหตุผลการนาพรหมชาลสูตรขึ้นแสดงเป็นพระสูตรแรก
โดยพิจารณาตามหัวข้อสำคัญในพระสูตรไปตามลาดับ ดังนี้ ๑) มิให้โกรธเมื่อมีผู้ติเตียนพระรัตนตรัย
และมิให้ยินดีเมื่อมีผู้สรรเสริญพระรัตนตรัย เป็นการเปิดใจผู้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาว่า
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงต้องการการสรรเสริญหรือยอมรับ ๒) มิได้ทรงโกรธ หากมีผู้ไม่ยอมรับ
ไม่บังคับให้ศรัทธา หากแต่มีเหตุและผลให้ไปพิจารณาเอง จูฬศีล มัชฌิมศีล มหาศีล (ศีลอย่างเล็กน้อย อย่างกลาง และอย่างใหญ่) เนื่องจากศีลเป็นบาทฐานของการเริ่มฝึกตนในสังคมชาวพุทธตามหลักของไตรสิกขา
พระสูตรเรื่องศีลจึงถูกนำมารวมไว้ในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (เล่มที่ ๙) เป็นเล่มแรกในหมวดพระสุตตันตปิฎก รายละเอียดทิฏฐิ ๖๒ ประการ (ปรารภเบื้องต้น ๑๘ และ เบื้องปลาย ๔๔) ชี้แจงความเห็นที่ผิดทั้ง
๖๒ ประการ เป็นการปูพื้นฐานในการศึกษาพระพุทธศาสนาต่อไปของคนในสังคม ไม่ให้เข้าใจหรือตีความผิดในความเห็นใดความเห็นหนึ่งใน
๖๒ ประการนี้ เพราะทราบแต่เบื้องต้นแล้วว่า สิ่งใดไม่ใช่ความเห็นที่ถูก สิ่งใดไม่ถูกต้อง
เป็นการให้ผู้เริ่มศึกษาได้พิจารณาความเห็นเดิมของตนว่า ตนเองอยู่ในขอบข่ายของทิฏฐิ
๖๒ ประเภทนี้ ประการใดบ้างหรือไม่ ทรงตรัสว่า ผู้ที่มีทิฏฐิ ๖๒ ประการนี้ ย่อมได้เสวยอารมณ์จากอายตนะทั้ง
๖[๒๙]
มีความยึดมั่นถือมั่นดังปลาที่ติดอยู่ในข่าย ผู้ศึกษาจะได้ทราบถึงผลที่เกิดจากเหตุแห่งการมีทิฏฐิ
๖๒ ประการนี้
สุดท้ายแล้ว จึงทรงตรัสว่า ตถาคตเป็นผู้ถอนตัณหาอันจะทำให้ติดอยู่ในภพได้แล้ว
ชี้ให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะหลุดพ้นจากข่ายแห่งความยึดมั่นถือมั่นนี้ ถือเป็นการปูทางก่อนที่จะเริ่มต้นศึกษาในหลักธรรมต่างๆ
และเพื่อให้เข้าใจในเป้าหมายของพุทธศาสนา ซึ่งก็คือความหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
ด้วยเหตุผลทั้งปวงที่ได้กล่าวมาดังนี้แล้ว จึงเป็นการเหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะนาพรหมชาลสูตรมาแสดงไว้เป็นพระสูตรแรกในพระสุตตันตปิฎก
เพื่อเป็นทั้งการเปิดใจ และเป็นการปูทางสาหรับผู้สนใจที่จะศึกษาพระสูตร และหลักธรรมข้ออื่นๆ
ต่อไป
๒) ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับศีลและทิฏฐิในพระสูตร
เมื่อนามาพิจารณากับความเชื่อในสังคมไทยปัจจุบัน ซึ่งมีประเด็นที่ควรนำมาวิเคราะห์
ดังนี้
๒.๑) ประเด็นแรก พบว่า การปฏิบัติเกี่ยวกับศีลในสังคมไทยปัจจุบันนั้น
มีประเด็นที่มีความสอดคล้องกับสมัยพุทธกาล คือ สังคมปัจจุบันยังมีการฆ่าสัตว์ การฟ้อนรา
ขับร้อง การแข่งขันไก่ การชกมวย การเล่นหมากรุก การอบผิว ทานายลักษณะอวัยวะ ทานายโชคลาง
ทำนายฝัน พิธีบนบาน พิธีแก้บน ร่างมนต์ขับผี ตั้งศาลพระภูมิ ทำกะเทยให้เป็นชาย ทำชายให้เป็นกะเทย
ฯลฯ ส่วนประเด็นที่แตกต่างเรื่องศีลในสมัยปัจจุบันกับสมัยพุทธกาล ซึ่งมีการประพฤติปฏิบัติอยู่บ้างแต่ก็น้อย
เช่น การบำเพ็ญพรต การทรมานร่างกาย เป็นต้น
๒.๒) ประเด็นที่สอง เรื่องทิฏฐิ (ทัศนะ) คือ ความเห็นหรือความเชื่อในสังคมไทยปัจจุบัน ยังมีความสอดคล้องกับความเชื่อในพรหมชาลสูตรเกี่ยวกับการตายแล้วเกิด
หรือการตายแล้วสูญ เช่น การเห็นว่าตายแล้วเที่ยง การตายแล้วสูญ การเชื่อว่า มีพระพรหมเป็นผู้บันดาลให้มีให้เป็น
หรือไม่ให้มีไม่ให้เป็น สาเหตุเนื่องมาจากคนในสังคมปัจจุบัน ยังมีความเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จ
หรือให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายได้ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีแนวคิดเช่นนี้อยู่ อนึ่ง พระพุทธเจ้าต้องเผชิญกับทิฏฐิต่างๆ
ที่คนในสมัยนั้นเชื่อถืออยู่จำนวน ๖๒ เรื่อง ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญ ๒ ประการ คือ ประการที่หนึ่ง คือ ลัทธิต่างๆ ได้ถูกนามาอธิบายหลักพุทธธรรม
กล่าวคือการอธิบายว่า ทิฏฐิเหล่านั้นเป็นความเชื่อที่ขัดขวางมนุษย์มิให้บรรลุจุดหมายสูงสุดของชีวิตตามนัยของอริยสัจ
๔ ประการที่สอง คือ ประสบการณ์ทางพุทธศาสนาในเรื่องเกณฑ์ตัดสินความถูกต้องของทิฏฐิ
เห็นได้ว่า พุทธองค์ทรงนาความเชื่อทั้ง ๖๒ ประเภทนั้น มาอธิบายว่า เป็นทัศนะ เป็นหลักปรัชญา
หรือ เป็นหลักลัทธิของเจ้าลัทธิต่างๆ นอกพระพุทธศาสนา
๓) ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับศีลและทิฏฐิในพระสูตรนี้
เป็นพื้นฐานแห่งสิทธิมนุษยชนเพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างอิสรภาพ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสสอนแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
หากมีใครมาติเตียนพระรัตนตรัยก็มิให้โกรธ และหากมีใครมาสรรเสริญพระรัตนตรัยก็มิให้ยินดีหรือเหลิง
คำสอนนี้ สอดแทรกแนวคิดอันเป็นพื้นฐานแห่งสิทธิมนุษยชน
ในเรื่องของการให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกด้วยอิสรภาพในการพูดและความเชื่อ รวมทั้งสิทธิและอิสรภาพในความคิดเห็น
อันสามารถนามาปรับใช้กับสังคมปัจจุบันได้ดังการสอนให้มีความอดทนในการรับฟังความคิดเห็น
เพราะหากไม่มีความอดทนในการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ หรือจากเสียงส่วนน้อยในสังคมแล้ว
ก็อาจมีการใช้กาลังต่อกันในการทาร้ายต่อผู้แสดงความคิดเห็นนั้น เพียงเพราะรับไม่ได้หรือโกรธเคืองหากจะมีผู้มาแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะในทางวิพากษ์วิจารณ์
นอกจากนี้ การสอนไม่ให้หลงยินดีเพลิดเพลินไปกับคาสรรเสริญชื่นชมนั้น
ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการนำมาปรับใช้กับชีวิต เพราะหากผู้คนทั้งหลายต่างหลงเพลิดเพลินกับคำชื่นชมแล้ว
ก็อาจไม่ทราบถึงความคิดเห็นอีกด้านหนึ่ง และทำให้เข้าใจผิดไปได้ว่า ตนทำถูกต้องไปเสียทุกอย่าง
เพราะสิทธิมนุษยชนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากบริบทในสังคมไม่ส่งเสริมหรือกลายเป็นการขัดขวาง
สิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นของคนในสังคม เพราะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนี้จะเป็นฐานก้าวสู่ขั้นต่อไปในการยอมรับความแตกต่างของมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชาติพันธ์ เพศ ภาษา ศาสนา อุดมการณ์ และความแตกต่างหลากหลายอื่นๆ
คำสอนของพระพุทธเจ้าดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเตือนสติและเป็นเสมือนเข็มทิศชี้ทางให้สังคมในปัจจุบันตระหนักและเข้าใจในสิทธิเสรีภาพดังกล่าว
๔) พรหมชาลสูตร ยังได้กล่าวถึงจูฬศีล
คำสอนเกี่ยวกับจูฬศีล เป็นพื้นฐานการปฏิบัติที่ดีของมนุษย์
แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกับแนวคิดสิทธิมนุษยชน ตามคำปรารภในปฏิญญาสากลฯ ที่ว่า ทุกคนย่อมมีสิทธิและอิสรภาพบรรดาที่กำหนดไว้ในปฏิญญานี้
โดยปราศจากความแตกต่างไม่ว่าชนิดใดๆ ดังเช่น เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา การคิดเห็นทางการเมืองหรือทางอื่น
เผ่าพันธุ์แห่งชาติ หรือสังคม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นๆ บุคคลใดๆ จะถูกทรมาน
หรือได้รับผลปฏิบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้ายผิดมนุษยธรรมหรือต่ำช้าไม่ได้ โดยพระพุทธเจ้าได้กล่าวว่า
หากมีใครคิดจะสรรเสริญพระพุทธเจ้าแล้ว เพียงแค่สรรเสริญการปฏิบัติตนของพระพุทธเจ้าในจูฬศีล
ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานก็เพียงพอที่จะสรรเสริญแล้ว นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังสอนให้หยุดการกระทำโดยการไม่ฆ่าสัตว์
และมีเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งปวง การไม่จองจำ แสดงให้เห็นถึงการไม่กักขัง หน่วงเหนี่ยวอันเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกาย
การวางอาวุธ การไม่ฆ่าฟัน การไม่ฆ่าสัตว์ ก็แสดงให้เห็นถึงการวางอาวุธทั้งหลายที่ใช้ในการนำไปทำร้ายผู้อื่น
เพื่อที่ผู้อื่นอยู่อย่างปลอดภัยไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดหยิบอาวุธขึ้นมาทาร้ายกัน
๖.
บทสรุป
จากการศึกษาสาระสำคัญของพระสูตรจะเห็นได้ว่า
มีการยกเรื่องศีล มาเป็นข้อปฏิบัติ กล่าวถึงเรื่องของแนวทางปฏิบัติของชาวพุทธ
ในด้านข้อดี และยังชี้ประเด็นถึงเรื่องของทิฎฐิ
ความเห็นที่เกิดขึ้นของลัทธิต่างๆในสมัยนั้นชี้ประเด็นถึงปัญหาสงคมที่เกิดขึ้น
เพื่อให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียของการเข้าใจผิดจากการมีความเห็นที่ผิด
พระสูตรในพรหมชาลสูตรนั้นมีความลึกซึ่ง
ทำให้มองเห็นภาพชัดเจนในการที่จะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามกฎศีลธรรมที่ดีงามของสังคม
และความเห็นต่างๆของลัทธิ ซึ่งสอดคล้องกับสังคมปัจจุบันที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในด้านความชื่อทุกแง่มุมของสังคม
ดังนั้นสังคมปัจจุบัน หากมีความเห็นที่ผิดก็อาจทำให้สังคมเสื่อมเสียได้ การนำเรื่องนี้มาตีความโดยเฉพาะความเห็นที่ไม่ลงรอยกันของสังคม
สังคมไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จะส่งผลกระทบไปในรูปแบบต่างๆ
ทั้งในรูปแบบของการศึกษา การอยู่ด้วยกัน ข้อปฏิบัติระเบียบข้อกฎหมายที่ใช้ร่วมกัน
ตลอดถึงศีลธรรมที่ ธรรมเนียมประเพณีที่ใช้ร่วมกัน ส่วนนี้อาจมีผลกระทบได้
ในฐานะผู้ศึกษาหากมีการตีความเพื่อความเข้าใจร่วมกันทั้งหลักทางศาสนา
และศาสตร์สมัยใหม่อย่างมีเหตุ และมีผล กล่าวถึงผลดีและผลเสียได้ก็จะทำให้สังคมอยู่อย่างมีความสุขได้
เอกสารอ้างอิง
ก. ข้อมูลปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
__________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๓๙.
__________.
อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาอัฏฐกถา.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๓๙.
__________. ฎีกาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาฏีกา. กรุงเทพฯ โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๓๙.
__________.
ปกรณวิเสสบาลี ฉบับมหาจุฬาปกรณวิเสโส.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๓๙.
______________. อรรถกถาแปล ขุททกนิกาย
ปฏิสัมภิทามรรค. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๓๒.
ข ข้อมูลทุติยภูมิ
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน ตอนว่าด้วยพระสูตร, กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, ๒๕๕๐.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.
สุชีพ ปุญญานุภาพ. พระไตรปิฎกฉบับสาหรับประชาชน. พิมพ์ครั้งที่ ๑๒.
กรุงเทพมหานคร : มหา มกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์
ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓.
__________. พจนานุกรมพุทธศาสน์
ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓.
[๑] น.ธ.เอก
พธ.บ.
Cc.Tibetan language M.A. (Buddhist
studies ) University of Delhi, India อาจารย์ประจำสาขาวิชาพระพุทธศาสนา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์
[๒] ดูบทนา ที.สี. (ไทย) ๙/(๑๐).
[๓] พระมหาสยาม ราชวัตร, “การศึกษาเปรียบเทียบไตรสิกขาคัมภีร์วิสุทธิมรรคกับคัมภีร์วิมุตติมรรค”,วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย
: มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓), หน้า ๑.
[๔] ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๑/๑๓๔.
[๕] ดูรายละเอียดใน ที.ปา. (ไทย)
๑๑/๑๑๑-๑๔๐/๘๓-๑๐๒.
[๖] ปิ่น มุทุกันต์, มงคลชีวิต, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊ค, ๒๕๔๙), หน้า ๑๗๗-๑๗๙.
[๗] พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์,
พิมพ์ครั้งที่ ๑๑/๒, (กรุงเทพมหานคร
: บริษัท เอส.อาร์.พริ้นติ้ง
แมส โปรดักส์ จำกัด, ๒๕๕๑), หน้า ๓๗๑.
[๘] วิ.มหา. (ไทย) ๑/๘๙/๗๘-๗๙.
[๙] วิ.มหา. (ไทย) ๑/๘๙/๗๘-๗๙.
[๑๐] วิ.มหา. (ไทย) ๑/๘๙/๗๘-๗๙.
[๑๑] พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, หน้า ๓๙๑.
[๑๒] ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๕/๓๐๒-๓๐๓, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๗๐๓/๔๔๗.
[๑๓] พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษัทสหธรรมิก จำกัด,
๒๕๕๓), หน้า ๗๖๗.
[๑๔] พระธรรมโมลี(ทองอยู่ ญาณวิสุทฺโธ), “การศึกษาเชิงวิเคราะห์วิถีชีวิต พฤติกรรมสุขภาพ และการ ดูแลสุภาพแบบองค์รวมของสงฆ์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก”,
วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย:
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑),
หน้า ๕๐.
[๑๕] พระครูสังฆรักษ์อำนาจ เขมปญฺโญ (ยอดทอง), “พระพุทธศาสนากับปัญหาจริยธรรม เรื่องการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในสังคม”,
วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย
: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓),
หน้า ๑๔๔.
[๑๖] พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), พระธรรมวินัย, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๑๓๘.
[๑๗] วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๙/๒๘-๒๙.
[๑๘] กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน
ตอนว่าด้วยพระสูตร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด, ๒๕๕๐),
หน้า ๑๐๑.
[๑๙] ที.สี. (ไทย) ๙/๕-๖/๒-๓.
[๒๐] ที.สี. (ไทย) ๙/๒๗/๑๐.
[๒๑] พืชคาม หมายความถึง พืชพันธ์จาพวกที่ถูกพรากจากที่แล้ว ยังสามารถงอกขึ้นได้อีก
(ที.สี.อ. ๑๑/๗๘) และภูตคาม หมายความถึง ของเขียว
หรือพืชพันธ์อันเกิดอยู่กับที่ มี ๕ ชนิด คือ ที่เกิดจากเหง้า เช่น กระชาย,
เกิดจากต้น เช่นโพ, เกิดจากตา เช่น อ้อย,
เกิดจากยอด เช่น ผักชี, เกิดจากเมล็ด เช่น ข้าว
(ที.สี.อ. ๑๑/๗๘).
[๒๒] ที.สี.อ.๑๗/๘๔.
[๒๓] พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม. (กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖),
หน้า ๔๐๘.
[๒๔] ที.สี. (ไทย) ๙/๑-๑๔๙/๑-๔๗.
[๒๕] ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน ที.สี. (ไทย) ๙/บทนา/[๑๓].
[๒๖] ที.สี.อ.๑๗/๘๔.
[๒๗] ที.สี. (ไทย) ๙/๑๔๔/๔๕.
[๒๘] ที.สี. (ไทย) ๙/๑๔๗/๔๗.
[๒๙] อายตนะ (อ่านว่า อายะตะนะ) แปลว่า ที่เชื่อมต่อ, เครื่องติดต่อ
หมายถึงสิ่งที่เป็นสื่อสำหรับติดต่อกัน ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น