ปราสาทตาเมือน
:
ธรรมศาลาบ้านมีไฟ เส้นทางหลวงราชมรรคา
Phra Pladwatchara Vachirayano (Kerdsabai
)
น.ธ.เอก, พ.ธ.บ., M.A. (Buddhist studies)
๑
ความนำ
เป็นที่น่าสนใจในเรื่องราวความเป็นมาของอรยธรรมขอมสมัยโบราณ
ที่ยังมีปรากฎหลักฐานอันทำให้เกิดคำถามมากมายในการสร้างอรยธรรม และการสร้างอนาจักร
ที่มีความอุดมสมบูรณ์
ปัจจุบันในเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นยังเป็นที่สงสัยและเป็นข้อแห่งการศึกษาวิจัยอย่างไม่มีสิ้นสุด
การให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอรยธรรมขอมที่แผ่ไปในทิศต่าง ๆในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่
๗ การสร้างอโรคยศาลา และที่พักคนเดือนทาง และสิ่งก่อสร้างมากมาย
จนเป็นสิ่งที่เราจะต้องหาคำตอบเพื่อให้เป็นข้อแก้ปัญหาในข้อสงสัย
โดยมีการศึกษาในด้านความเป็น และเส้นทางสำคัญของการสร้างศาลาที่พักริมทางโดยเฉพาะฝั่งของประเทศไทยว่ามีที่ไหนบ้าง
และเชื่อมโยงไปยังเมืองพระนครทม เมืองเสียมเรียบในปัจจุบันของประเทศกัมพูชา
ทั้งเพื่อให้ความละเอียดและเข้าใจจึงขอนำเสนอไปตามลำดับดังนี้
๒
ธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟ
"ราชมรรคา" ถนนหลวงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ที่เชื่อมโยงบ้านเมืองในเขมรต่ำกับบ้านเมืองในเขมรสูงที่มีเมือง “วิมายะปุระ” หรือเมืองพิมายเป็นศูนย์กลาง โดยการสึกษาจาก
จากจารึกปราสาทพระขรรค์ บทที่ ๑๒๒ ถึง ๑๒๖ กล่าวถึง "ธรรมศาลา บ้านมีไฟ"
ไว้ว่า “บนเส้นทางจากเมืองยโศธรปุระ ไปยังราชธานีของประเทศจามปา
(พระองค์ได้ทรงโปรดให้สร้าง) ที่พักคนเดินทางพร้อมด้วยไฟ (วหนิคฤหะ บ้านมีไฟ)
จำนวน ๕๗ แห่ง จากราชธานี (ยโศธรปุระ) ไปยังเมืองวิมาย (มี) ที่พักพร้อมด้วยไฟ ๑๗ แห่ง
จากราชธานีไปยังเมืองชัยวดี จากเมืองนี้ไปยังเมืองชัยสิงหวดี จากที่นั่นไปยังเมืองชัยวีรวดี
จากที่นั้นไปยังเมืองชัยราชคีรี จากเมืองชัยราชคีรีไปยังเมืองศรีสุวีรปุรี
จากเมืองนั้นไปยังเมืองยโศธรปุระ ตามทางเดินนั้น มีที่พักพร้อมไฟ ๔๔ แห่ง
มีแห่งหนึ่งที่ศรีสุริยบรรพต (พนมจิสอร์) แห่งหนึ่งที่เมืองศรีวิชยาทิตยปุระ
แห่งหนึ่งที่เมืองกัลยาณสิทธิกะ[๒]”
นายเดอลาจองกิแยร์ แห่งสำนักฝรั่งเศสปลายบูรพาทิศ
ได้กำหนดให้อาคารสถาปัตยกรรมตามรูปแบบ “บ้านมีไฟ” ที่กล่าวไว้ในจารึก ให้เรียกว่า “โบราณสถานแบบปราสาททัพเจย” ส่วนนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสชื่อนายฟีโนต์ เป็นผู้เรียกบ้านมีไฟนี้ว่า "ธรรมศาลา" (Dharmasala)เป็นคนแรก
ธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟ คืออาคารปราสาทหินรูปร่างยาวแปลกตา
มีเรือนปราสาทอยู่ด้านหนึ่งทางทิศตะวันตก ตั้งอยู่บนเส้นทางราชมรรคา ๕ สาย จากเมืองพระนครหลวง ปรากฏในจารึก ๑๒๑ แห่ง แต่ความเป็นจริง
ก็ยังค้นพบไม่ถึงครึ่งเลยครับ บางก็ว่าอาคารหลายแห่งอาจจะทำด้วยไม้
หรืออาจจะยังไม่เคยถูกสร้าง
หรือสร้างไม่ทันรัชสมัยแต่จารึกดันไปจารึกไว้ก่อนเพื่อเป็นการประกาศพระราชอานุภาพแห่งพระองค์
เส้นทางสาย “ราชมรรคา” หรือ Royal Roads คือเส้นทางเชื่อมโยงบ้านเมืองชั้นใน
ของราชอาณาจักรกัมพุเทศ เขมรหรือขอมโบราณ อันเป็นบรรพบุรุษ "ร่วม"
สายหนึ่งของชาวไทยในปัจจุบัน เป็นเส้นทางที่ยังมีร่องรอยหลักฐานของ ถนน สะพาน
ปราสาท จารึก และ "ปมปริศนา" แห่งอดีตให้เราค้นหาถนนสายราชมรรคา Royal
Road หรือ"ถนนราชดำเนิน"
เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ จนถึงสมัยต้นพุทธศตวรรษที่
๑๘ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มหาพุทธราชาแห่งอาณาจักร
ได้ทรงโปรดให้ปรับปรุงถนนหลวงเป็น ๕ สาย และให้จัดสร้าง โรงพยาบาล ที่เรียกว่า
“อโรคยศาลา” (Arogaya-sala) และ
อาคารเรือนพักหรือป้อมตรวจการระหว่างถนน เรียกว่า "บ้านมีไฟ" หรือ
"ธรรมศาลา" (Dharmasala) ไว้ตามเส้นทาง ตามจารึกปราสาทพระขรรค์ระบุว่า
มี "อโรคยาศาลา" ทั้งหมด ๑๐๒ แห่ง และบ้านมีไฟหรือ "ธรรมศาลา"
จำนวน ๑๒๑ แห่งบนเส้นทาง ๕ สาย ที่ออกไปจากเมืองพระนครธม[๓]
ศูนย์กลางแห่งอาณาจักรในอดีต เส้นทางราชมรรคาสายเหนือ เริ่มต้นจากเมืองพระนครธม
ขึ้นมาที่จุดตัดของลำน้ำหลายสาย
ที่มีต้นน้ำมาจากเทือกเขาพนมดงรักก่อนไหลลงโตนเลสาบ (ทะเลสาบเขมร)
ผ่านที่ราบกว้างใหญ่ เข้าสู่ช่องจอม มีร่องรอยของธรรมศาลาตามเส้นทางอยู่จำนวน ๙
แห่ง สำรวจพบชัดเจนเพียง ๖ แห่ง[๔]
เท่านั้น เส้นทางราชมรรคาในประเทศไทย เริ่มต้นจากช่องจอม อำเภอกาบเชิง
จังหวัดสุรินทร์ มีธรรมศาลา "ตาเมือน" เป็นธรรมศาลาแรก
เดินทางขึ้นเหนือไปสิ้นสุดที่เมือง วิมายุประ หรือปราสาทหินพิมาย
มีการค้นพบธรรมศาลา ที่น่าจะตั้งอยู่ตามเส้นทางหลวงนี้ในประเทศไทยทั้งหมด ๙ แห่ง เมื่อรวมทั้งเส้นทาง
ก็จะพบว่า มีธรรมศาลาทั้งหมดตามเส้นทางนี้ ๑๗ แห่ง[๕]
จารึกปราสาทพระขรรค์ระบุว่า
“ธรรมศาลา” จะสร้างอยู่ตามเส้นทางสายราชมรรคทั้งหมด แต่ดันมีธรรมศาลาหลังหนึ่ง ไปปรากฏอยู่นอกเส้นทางราชมรรคาที่ปราสาทบันทายฉมาร์
หรือเพราะ เราหลงทางกันไปว่า "เส้นทางราชมรรคา"จะต้องเป็นเส้นที่ตัดตรง
ซึ่งความจริงอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น
เส้นทางหลวงสายนี้อาจจะเลี้ยวไปทางปราสาทบันทายฉมาร์
ก่อนจะย้อนกลับมาที่ช่องจอมก็เป็นไปได้ ต้องดูแผนที่ประกอบจึงจะสามารถเข้าในภาพรวมของเส้นทางได้
คุณวรณัย พงศาชลากร
“ธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟ” เป็นสิ่งก่อสร้างควบคู่กับถนนสายราชมรรคา
ส่วน “อโรคยศาลา” หรือโรงพยาบาลจะสร้างอยู่ในแหล่งชุมชนโบราณหรือสรุก
มีอาคารปราสาทที่เรียกว่า "สุคตาลัย" (Chapel of Hospital) เป็นประธานของโรงพยาบาล สุคตาลัยแห่งแรกสุดเริ่มต้นที่ ปราสาทเลียคเนียง (LeakNeang)
ทางทิศตะวันตกของปราสาทตาแก้วด้านประตูทิศตะวันออกของเมืองพระนคร "วหนิคฤหะ"[๖]
ในจารึกปราสาทพระขรรค์แปลว่า "บ้านมีไฟ"
นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้เรียกบ้านมีไฟว่า "ธรรมศาลา" ลักษณะเป็นห้องยาวหันหน้าทางด้านตะวันออก
มียอดทรงปราสาทด้านตะวันตก ผนังด้านทิศใต้มีหน้าต่าง ส่วนทิศเหนือเป็นหน้าต่างหลอก
หรือเป็นผนังเปล่า มีบารายหรือสระน้ำประจำธรรมศาลา
๓
บ้านมีไฟบนเส้นทางราชมรรคพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ในปราสาทพระขรรค์ยังเมืองพระนคร ยังมีจารึกที่ระบุว่ามี “บ้านมีไฟ” จากเมืองพระนครไปยังจามปาจำนวน ๕๗ หลัง
ถนนจากเมืองพระนครไปยังเมืองวิมายะปุระจำนวน ๑๗ หลัง
บนถนนที่มีเส้นทางไปยังเมืองต่างๆ อีก ๔๔ หลัง แต่ละหลังสร้างห่างกันประมาณ ๑๒ - ๑๕
กิโลเมตร[๗] เริ่มต้นที่จากปราสาทหินพิมาย
ปราสาทหินขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอีสานใต้ในคติความเชื่อของพุทธศาสนาสายมหายานวัชรยาน
เป็นเมืองใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายอาณาจักรไปสู่เมืองลวะปุระหรือลพบุรี
ในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
๑
ปราสาทกู่ศิลา อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา
๒
ปราสาทห้วยแคน อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา
๓
ปราสาทบ้านสำโรง เขตจังหวัดนครราชสีมา
๔
ปราสาทหนอตาเปล่ง ตั้งอยู่ในอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
๕
ปราสาทหนองปล่อง ตั้งอยู่ในอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
๖
ปราสาทหนองกง ตั้งอยู่ในอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
๗
ปราสาทบ้านบุ ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับปราสาทหินเขาพนมรุ้ง
๘
ปราสาททะมอ อยู่อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
๙
ปราสาทตาเมือน หรือ "ปราสาทบายกรีม" ตั้งอยู่ชายแดน
บ้านหนองคันนาสามัคคี อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์[๘]
สรุปได้ว่าเราศึกษาได้เฉพาะเส้นทางในประเทศไทยในจำนวน
จาก ๑๗ แห่งเส้นทางแห่งนี้
เดินทางจากพระนครไปสู่เมืองพิมายซึ่งตอนนี้ข้อมูลอาจจะยังไม่ชัดเจนในเรื่องของจำนวน
แต่อย่างไรก็ตามในอานาคตก็สามารถสืบได้ต่อไป
๔ หลักฐานแห่งเส้นทางราชมรรคจากแดนสยามสู่กัมพูชาที่ยังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อศึกษาพ้นจากกลุ่มปราสาทตาเมือนออกไป
ก็จะเป็นช่องเขาขนาดใหญ่เรียกว่า “ช่องตาเมือน”
การเดินทางเข้าไปนั้นลำบากและไม่สามารถไปซึกษาต่อได้ในยังเขตพื้นที่ของกัมพูชา
กอกไปจากแนวเขตชายแดน มีร่องรอยหลักฐานของถนนและสะพานหรือ "สเปียน"
สร้างขึ้นจากหินศิลาแลง เพื่อปรับระดับความลาดชันบนเทือกเขาพนมดงรักให้ลดน้อยลง
มีช่องสำหรับทางน้ำไหลผ่าน ใช้เป็นทางระบายน้ำในช่วงข้ามลำห้วยต่าง ๆ ห่างจากชายแดนประมาณ
๖ กิโลเมตรตามเส้นทางราชมรรคา มีสะพาน “สเปียนคาเมียง”
เป็นสะพานแรกหลังออกจากช่องจอม[๙]
ถนนราชมรรคา
ในช่วงชายแดนไปจนปราสาทพรหมเก็ล ปราสาทส่วนใหญ่ก็อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม
ปรักหักพังมาก และยังไม่ได้รับการบูรณะแต่อย่างใด นักวิชาการและนักโบราณคดีเชื่อว่าถนนสายราชมรรคาสายนี้
ควรจะออกจากช่องตาเมือน แล้วมีทางแยกมาที่ปราสาทบันทายฉมาร์
ปราสาทขนาดใหญ่ที่สามารถมองได้จากภาพถ่ายดาวเทียม ที่สำคัญ ปราสาทบันทายฉมาร์
มีธรรมศาลา ที่ระบุในจารึกอย่างชัดเจนว่า ตั้งอยู่ตามเส้นทางราชมรรคา เท่านั้น
แล้วธรรมศาลาที่ปราสาทบันทายฉมาร์ล่ะ ทำไมจึงมาอยู่นอกเส้นทาง ?
เส้นทางราชมรรคาไม่ได้ตัดเป็นเส้นดิ่งตรงไปยังเมืองพระนครอย่างที่เคยมีการศึกษาไว้แน่
ๆ แต่ต้องเป็นโครงข่ายถนนอย่างแน่นอน และบนเส้นทางยังมีสะพาน สเปียนตโบง
สเปียนโต๊ป และสเปียนเยียง โอสเปียนกเมง เป็นสะพานขนาดใหญ่[๑๐]
สร้างต่อเนื่องกันตามแนวถนน เพื่อข้ามลำน้ำหลายสายที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาพนมดงรัก
ทางน้ำนี้เป็นเส้นกั้นเขตจังหวัดอุดรมีชัยกับจังหวัดเสียมเรียบ
อีกที่ยังมีสะพานเส้นทางเดิม เรียกว่า สเปียนโต๊ป (Spean Top) เป็นสะพานที่ยาวและสูงที่สุดในเส้นทางสายนี้ มีความยาว ๑๔๙ เมตร สูง ๑๔.๕๐ เมตร และมีความสูงของซุ้มโค้งใต้สะพานมากถึง ๑๐ เมตร
ตั้งอยู่ใกล้กับธรรมศาลา ปราสาทพรหมเก็ล ( Prohm Kel) ยังคงมีรูปสลักและเสาสะพานหินทรายที่สวยงามหลงเหลืออยู่บ้าง
ข้อสังเกตว่า
หากออกห่างเมืองพระนครไปยิ่งไกลเท่าไหร่
บ้านมีไฟธรรมศาลาก็เริ่มจะใช้วัสดุก่อสร้างที่หยาบขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น
เปลี่ยนจากหินทรายแกะสลักมาเป็นแค่ศิลาแลง
แล้วใช้หินทรายในเฉพาะส่วนรูปประติมากรรม นั่นก็คงเป็นเพราะ
การเร่งรัดให้มีการก่อสร้างธรรมศาลาและอโรคยศาลาในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ให้ได้ตามที่จารึกไว้ก่อนหน้า คือสร้างปราสาทหลังจากจารึก การก่อสร้างในที่ไกล ๆ
ทำที่หลัง ใกล้ ๆ สร้างก่อน บางหลังก็สร้างไม่เสร็จ ยังไม่ทันแกะสลัก
บางหลังยังไม่ได้ก่อยอดเรือนปราสาท หลังไหนห่างไกลมาก ก็ดูจะใช้วัสดุคุณภาพต่ำและไม่ละเอียด
แตกต่างไปจากในเขตเมืองพระนคร
ธรรมศาลาจากปราสาทตาพรหมเก็ลไปสู่เมืองพระนคร
หลายแห่งพังทลายและยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการครับ
ธรรมศาลาสุดท้ายของการเดินทาง เป็นบ้านมีไฟหลังแรกสุดของเมืองพระนครหลวง
เป็นต้นแบบของธรรมศาลาทั้งหมด ตั้งอยู่ในเขต ปราสาทพระขรรค์
ทางทิศเหนือของเมืองพระนครหลวง เป็นธรรมศาลาที่สร้างด้วยหินทรายทั้งองค์
มีลวดลายแกะสลักและโครงสร้างสมบูรณ์สวยงาม บันทึกของโจวต้ากว้าน
ทูตชาวมองโกลที่เข้ามาในสมัยปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ได้บันทึกเรื่องราวของธรรมศาลาไว้สั้น ๆ ว่า “บนถนนสายใหญ่เหล่านี้
มีที่พักคนเดินทางเหมือนสถานีม้าใช้ของประเทศเรา”[๑๑]
ดังนั้นเรื่องเส้นทางราชมรรคา
ถนนสะพานและธรรมศาลา เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมากจริง ๆ
และยังคงรอข้อมูลจากการไขปริศนาของเส้นทาง โดยเฉพาะในเขตอดีตสมรภูมิสงครามในประเทศกัมพูชา
ซึ่งยังคงต้องสำรวจภาคสนาม เพื่อตามหาปราสาทธรรมศาลาอีกหลายแห่ง ที่ยังค้นหาไม่พบ
หรืออาจจะไม่มีอยู่จริงเลยก็ได้ ปัจจุบันนั้นสะพานโบราณบนถนนสายราชมรรคาหลายแห่ง
ยังคงถูกใช้เป็นเส้นทางถนนสายหลักในการคมนาคมจากจังหวัดอุดรมีชัยเข้าสู่จังหวัดเสียมเรียบ
โดยทุกวันจะมีรถยนต์และรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งอยู่เป็นประจำ ท่านสุภัทรดิส ดิสกุล
ทรงอธิบายเรื่องบ้านมีไฟหรือธรรมศาลาไว้ว่า เป็นอาคารไม้
แต่มีปราสาทสร้างด้วยศิลาแลงตั้งอยู่เป็นที่สังเกต
คือมีปราสาทเป็นที่ประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรซึ่งเป็นที่พึ่ง
ที่บูชาของผู้เดินทางตั้งอยู่ในห้องทางทิศตะวันตก
ปราสาทแบบนี้มุขค่อนข้างยาวออกไปทางทิศตะวันออก
มีหน้าต่างหลายบานเฉพาะผนังทางทิศใต้ของมุข
อาคารศิลาแลงแห่งนี้บางครั้งก็แสดงให้เห็นว่านำแท่งศิลาเก่ามาใช้ในการก่อสร้างใหม่
เพราะยังคงมีลวดลายเก่าสลักอยู่
และบางครั้งก็มีรูปพระพุทธรูปปางสมาธินั่งอยู่ในซุ้ม(เรือนแก้ว)หลายองค์ตั้งอยู่บน(สัน)หลังคาของมุขที่ยื่นออกมาทางด้านทิศตะวันออกด้วย
ไม่ปรากฏว่าได้ค้นพบกำแพงล้อมรอบ
มุขนั้นยาวมีเนื้อที่มากจนทำให้สงสัยว่าจะให้ผู้เดินทางเข้าพักภายในมุขนั้นด้วยหรือไม่
๕ ปราสาทตาเมือน
หรือ "ปราสาทบายกรีม" ในปัจจุบัน
ในกลุ่มปราสาทตาเมือน
มีปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม
ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์
และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม อยู่ใกล้ดินแดนเขมรมากที่สุด
ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศใต้
ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คงจะรับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้
ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งแปลตรงกับภาษาเขมรว่า ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาคารอื่น
คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน บรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง
และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือมีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดน
การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น
ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก[๑๒]
ปราสาทตาเมือนโต๊ด
อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม ประมาณ ๗๕๐ เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ
โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล
รักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม
ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ปราสาทตาเมือน(บายกรีม)[๑๓] อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด
ประมาณ ๓๙๐ เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว
เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา คือที่พักสำหรับคนเดินทาง กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์
แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น
การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า
ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค[๑๔]
๖ สรุปความ
ปราสาทตาเหมือน
หรือปราสาทตาเมือน(บายกรีม) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ติดเขตแดนไทย-กัมพูชา
ตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาพนมดงรัก เป็นที่ทราบกันดีว่า ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์นั้
และในพื้นที่นี้มีกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมอยู่ด้วยกัน ๓ กลุ่ม
แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ต่างก็มีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นของตนเอง
ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์เขมรมีภาษาเขมรใช้ในการสื่อสาร กลุ่มชาติพันธุ์ลาว
มีวัฒนธรรมอันโดดเด่นคือใช้ภาษาไทยอีสาน กินข้าวเหนียว
และกลุ่มชาติพันธุ์กูยหรือชาวส่วย มีวัฒนธรรมอันโดดเด่นคือ
เชี่ยวชาญการจับและเลี้ยงช้าง แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงประเพณีของกลุ่มชาติพันธุ์เขมรซึ่งเป็นเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดซึ่งมีความใกล้ชิดในหลายด้านกับอารยธรรมเขมรสมัยเมืองพระนคร
ได้แก่ ลักษณะทางพันธุกรรม ภาษาประเพณีวัฒนธรรมเป็นต้น ชาวเขมรที่เข้ามานี้ได้นำเอาวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ
เข้ามาใช้และเข้าไปมีอิทธิพลต่อกลุ่มชนอื่นๆ
ทำให้เกิดการผสมผสานกลมกลืนกันทางเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรมในเวลาต่อๆ มา
โดยทั่วไป ชาวเขมรถิ่นไทยเรียกตนเองว่า “คะแมร์” มีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์หลายประการ เช่น
ภาษา การแต่งกาย พิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสืบทอดต่อกันมา ในจารึกอักษรขอมโบราณที่ค้นพบจากปราสาทตาเหมือนธม
ปราสาทภูมิโปน
ก็ยังปรากฏหลักฐานว่าเป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาพูดและภาษาเขียนมาตั้งแต่โบราณแล้วในบริเวณนี้ กลุ่มชาติพันธุ์เขมรที่มีวัฒนธรรมภาษาซึ่งสื่อสารกันด้วยภาษาเขมร
(Khmer) นั้น นักภาษาศาสตร์ได้แบ่งภาษาเขมรออกเป็น ๓
กลุ่มตามเขตการปกครอง ได้แก่ ภาษาเขมรสูง(หรือเขมรเหนือหรือเขมรถิ่นไทย)
ภาษาเขมรกลาง เป็นภาษาเขมรของผู้พูดภาษาเขมรในประเทศกัมพูชา (หรือเขมรต่ำ)
และภาษาเขมรใต้ เป็นภาษาเขมรของคนเวียดนามทางตอนใต้ ซึ่งกล่าวกันไปตามภูมิประเทศที่เกิดขึ้นโดยสันนิฐานไปตามระดับของภูมิประเทศ
ปัจจุบันนี้สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นแหล่งโบราณสถานที่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์
บนพื้นฐานความเชื่อเดิมตั้งแต่สมัยพระนครจนมาถึงขณะปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศดังจะเห็นในทุกๆปียังมีชาวกัมพูชาขึ้นมาถวายของสักการะและทำพิธีต่างๆ
ตามความเชื่ออย่างไม่ขาดสาย เมื่อสอบถามทำให้ทราบว่า
ชาวเขมรจากกัมพูชาต้องการขึ้นมาถวายของสักการะและทำพิธีที่ปราสาทตาเหมือน
แต่เนื่องจากระยะทางอยู่ใกล้เขตแดนของไทยและฝ่ายความมั่นคงก็จะรักษาความปลอดภัยอย่างดี
ในที่แห่งนี้ก็ยังมีความสำพันธ์อันดีทั้งในความเชื่อความศรัทธาที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตรอบด้านของชนชาติพันธ์เขมรทั้งกัมพูชาและไทย
นอกจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวปัจจุบันแล้วอดีตยังเป็นสถานที่เส้นทางแห่งความสัมพันธ์แห่งชนชาติไทยและกัมพูชาในอดีต
ที่มีเรื่องราวอันเล่าขานไม่มีวันสิ้นสุด ปัจจุบันประชาชนในสองประเทศยังมีความรักและความปรารถนาดีต่อกัน
ท่ามกลางความขัดแย้งในเชิงภูมิศาสตร์แต่ด้านความเชื่อทางวัฒนธรรมดังเดิมนั้นก็ยังถือปฏิบัติเหมือนเดิมถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
หนังสืออ้างอิง
Michel Petrotchenko, Angkor temples, the
guidebook third edition, printed and bound in Thailand by armrin printing
publishing Pcl. ๒๐๑๔.
รศ.ศิริพร สุเมธารัตน์, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสุรินทร์,
พิมพ์ครั้งที่ ๓ กรุงเทพมหานคร, โรงพิมพ์ โอเดียนสโตร์.
๒๕๕๔.
รศ.ดร.เชษฐ์
ติงสัญชลี ประวัติศาสตร์ศิลปะ อินเดียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบ
พัฒนาการ ความหมาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ หจก. เรือนแก้วการพิมพ์ ๒๕๖๐.
ผศ.สุทัศน์
กองทรัพย์, ประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ ,พิมพ์ครั้งที่ ๑ สุรินทร์, โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, ๒๕๕๐.
ธิบดี บัวคำศรี. ประวัติศาสตร์กัมพูชา
หนังสือชุด "อาเซียน "ในมิติประวัติศาสตร์ พิมพ์ครั้งที่ ๒,
กรุงเทพมหานคร, สำนักพิมพ์เมืองโบราณ ๒๕๕๕.
ก.เมฆสวัสดิ์
อารยธรรมขอมโบราณ ไม่ใช่บรรพบุรุษของกัมพูชา. พิมพ์ครั้งที่ ๑,
กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์ ลูกบาสก์ห้าสิบสี่ ในเครือ บริษัท คิวบ์ ฟิฟตี้โพร์
จำกัด ๒๕๖๐.
ดร.อชิรัชญ์
ไชยพจน์พานิช. ศิลปะเวียดและจาม พิมพ์ครั้งที่ ๑ กรุงเทพมหานคร,
สำนักพิมพ์มติชน จำกัด (มหาชน), ๒๕๕๗.
แหล่งข้อมูลข้องอิงจากอินเตอร์เนต
กรมศิลปากร. (๒๕๕๐). ประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์. กรุงเทพฯ: อัมรินทร์พริ้นติ้งและพับลิชชิ่ง. ISBN ๙๗๘-๙๗๔-๔๒๕-๐๕๗-๕
จากวิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรี https://th.wikipedia.org/ ปราสาทตาเมือน
https://thai.tourismthailand.org
กลุ่มปราสาทตาเมือน สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และอนุสาวรีย์.
http://isan.tiewrussia.com
ข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปราสาทบ้านไพล, เปิดข้อมูลเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐.
https://sites.google.com/site/prasathhir/prasath-hin-ban-phil ปราสาทหิน
[๒] [ออนไลท์] ธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟ http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai/๒๐๐๗/๑๒/๐๕/entry-๑ สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ ๑๒
กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
[๓] รศ.ดร.เชษฐ์
ติงสัญชลี ประวัติศาสตร์ศิลปะ อินเดียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบ
พัฒนาการ ความหมาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓ กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์ หจก. เรือนแก้วการพิมพ์ ๒๕๖๐, หน้าที่ ๒๗๕
[๔] อ้างแล้วเรื่องเดียวกัน
หน้าที่ ๒๕๒
[๕] ก.เมฆสวัสดิ์ อารยธรรมขอมโบราณ
ไม่ใช่บรรพบุรุษของกัมพูชา.พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์
ลูกบาสก์ห้าสิบสี่ ในเครือ บริษัท คิวบ์ ฟิฟตี้โพร์ จำกัด ๒๕๖๐. หน้าที่ ๒๕๖
[๖] ก.เมฆสวัสดิ์ อารยธรรมขอมโบราณ
ไม่ใช่บรรพบุรุษของกัมพูชา.พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์
ลูกบาสก์ห้าสิบสี่ ในเครือ บริษัท คิวบ์ ฟิฟตี้โพร์ จำกัด ๒๕๖๐. หน้าที่ ๑๗๖
[๗] อ้างแล้วเรื่องเดียวกัน
หน้าที่ ๑๗๕
[๙] อ้างแล้วเรื่องเดียวกัน
หน้าที่ ๒๕๗
[๑๐] รศ.ดร.เชษฐ์
ติงสัญชลี ประวัติศาสตร์ศิลปะ อินเดียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบ
พัฒนาการ ความหมาย,( กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
หจก.เรือนแก้วการพิมพ์ ๒๕๖๐) หน้า ๒๕๘.
[๑๑] ม.จ.สุภัทรดิศ
ดิศกุล,ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ถึง (กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์สานใหม่, ๒๕๕๓) หน้าที่
๑๒๓
[๑๒] สมัย
สุทธิธรรม, สารคดี ชุด เส้นทางปราสาท "ปราสาทตาเมือนโต๊จ
ปราสาทตาเมือนธม" , กรุงเทพมหานคร, สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๗,
หน้าที่ ๔๕-๔๖
[๑๓] ก.เมฆสวัสดิ์
เรียบเรียง อารยธรรมขอมโบราณ ไม่ใช่บรรพบุรุษของ กัมพูชา (เขมร), (กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ ลูกบาศก์ห้องสิบสี่ ๒๕๖๐, หน้าที่
๑๑๕
[๑๔] สมัย
สุทธิธรรม, สารคดี ชุด เส้นทางปราสาท "ปราสาทตาเมือนโต๊จ
ปราสาทตาเมือนธม" , กรุงเทพมหานคร, สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๗,
หน้าที่ ๕๑
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น