การให้คำปรึกษาแนะแนวในทางพระพุทธศาสนา เพื่อการพัฒนาปัญญา
การให้คำปรึกษาแนะแนวในทางพระพุทธศาสนา
เพื่อการพัฒนาปัญญา
พระปลัดวัชระ วชิรญาโณ
น.ธ.เอก พธ.บ.
Cc.Tibetan language
M.A. (Buddhist studies ) University of Delhi, India
อาจารย์ประจำสาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตสุรินทร์
*********************************************************************************************
บทนำ
การให้คำปรึกษาตามแนวพุทธศาสนา เมื่อเราพบบุคคลใดบุคลหนึ่งมาขอคำปรึกษาในเรื่องต่างๆ เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาการตัดสินใจเลือกกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ปัญหาส่วนตัวที่บุคคลนั้นๆ ไม่สามารถตัดสินใจแก้ปัญหานั้นได้ เป็นต้น ซึ่งบุคคลที่ไม่ได้ศึกษมาทางด้านการแนะแนวและให้คำปรึกษา ก็จะให้ผู้มาขอรับคำปรึกษาเล่าสภาพปัญหาต่างๆ ที่ตนเองประสบมา หลังจากนั้นผู้ให้คำปรึกษา มักเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาให้ผู้รับคำปรึกษา ซึ่งมีหลักการว่าผู้รับคำปรึกษาต้องคิด ตัดสินใจ และแก้ปัญหาของเขาด้วยตัวเขาเอง ไม่มีใครที่จะรู้จักและเข้าใจปัญหา สามารถแก้ปัญหาได้เท่ากับตัวเขาอง ส่วนผู้ให้คำปรึกษามีหน้าที่ช่วยให้ผู้รับคำปรึกษา รู้ว่าปัญหาของเขาคืออะไร สาเหตุของปัญหามาจากสาเหตุใด จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยวิธีใดบ้าง ส่วนการเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาเป็นหน้าที่ของผู้รับคำปรึกษาที่จะตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมกับตนเอง ในการให้คำปรึกษานั้น ผู้ให้คำปรึกษาต้องยึดถือทฤษฎีเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ซึ่งในทางพุทธศาสนานั้น มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถือเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิตและแก้ปัญหาชีวิต การนำแนวคิดทางพระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางในการให้คำปรึกษาจึงเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ปัญหาในปัจจุบัน
๑. ความหมายของการให้คำปรึกษา
การให้คำปรึกษา หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือ ติดต่อสื่อสารกันด้วยวาจาและกิริยาท่าทาง ที่เกิดจากสัมพันธภาพทางวิชาชีพของบุคคลอย่างน้อย ๒ คน คือ ผู้ให้และผู้รับคำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษา ซึ่งมีคุณลักษณะที่เอื้อต่อการให้คำปรึกษา มีความรู้และทักษะในการให้คำปรึกษา ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้รับคำปรึกษา กับผู้ซึ่งเป็นผู้ที่กำลังประสบความยุ่งยากใจ หรือมีความทุกข์และต้องการความช่วยเหลือให้เข้าใจตนเอง เข้าใจสิ่งแวดล้อม ให้มีทักษะในการตัดสินใจ และหาทางออกเพื่อลดหรือขจัดความทุกข์ ความยุ่งยากใจด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
๑.๑.. ความหมายของการให้คำปรึกษา Counseling
มีผู้ให้คำจำกัดความของคำว่า การให้คำปรึกษา[๑]
(Counseling)
ไว้ต่างๆกัน ความแตกต่างนั้นไม่ได้มาจากทัศนะและปรัชญาของผู้เชี่ยวชาญทางการให้คำปรึกษาที่แตกต่างกันเท่านั้น
แต่มาจากกาลเวลาที่แตกต่างกัน การให้คำปรึกษาเป็นการให้ความช่วยเหลือเป็นรายบุคคลในปัญหาทางด้านส่วนตัว
การศึกษา และอาชีพ ซึ่งข้อเท็จจริงทั้งหมด ที่จำเป็นก็ได้ถูกนำมาศึกษา และวิเคราะห์พร้อมทั้งหาวิธีแก้ปัญหานั้น
๑.๒. ขอบข่าย
เป็นกระบวนการของการร่วมมือกันระหว่างผู้ให้คำปรึกษากับผู้รับคำปรึกษาในอันที่จะพยายามหาช่องทางเพื่อลดความทุกข์ให้เบาบางลงหรือขจัดให้หมดไป
การให้คำปรึกษาก็จะทำกับบุคคลปกติที่มีความทุกข์ในลักษณะปกติ และความทุกข์นั้นจะอยู่ในขอบข่ายของปัญหา
เช่น ปัญหาทางด้านการศึกษา ปัญหาทางด้านอาชีพ ปัญหาทางด้านสังคมส่วนตัว
๑.๓. คุณลักษณะของ Counselor
คุณลักษณะทั่วไปของผู้ให้คำปรึกษาที่มีคุณภาพในด้านการรับรู้ถึงสภาพทั่วไป
เมื่อแรกพบผู้รับคำปรึกษานั้น ผู้ให้คำปรึกษาที่ดีควรจะให้ความสนใจ เช่น
๑.๓.๑.
มองลงไปให้ลึกถึงจิตใจของมนุษย์ ยอมรับในธาตุแท้ของมนุษย์
๑.๓.๒.
รู้จักและเข้าใจมนุษย์ให้ลึกซึ้ง ต้องเข้าใจปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับมนุษย์
๑.๓.๓.
ผู้ให้คำปรึกษาที่ดีต้องมีความเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนมีความสามรถ ในการแก้ไขปรับปรุงตนเอง
ผู้ให้คำปรึกษาต้องมีความไว้วางใจ มีไมตรีจิตและเป็นมิตรกับบุคคลทั่วไป ในด้านที่เกี่ยวกับผู้ให้คำปรึกษาเองนั้น ควรจะเสริมสร้างคุณสมบัติ เช่น สามารถร่วมรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่นได้ มีความอิ่มในตัวเองพอสมควร มีความยุติธรรม กล้าเปิดเผยตัวเอง และ ในขณะให้คำปรึกษา ควรมุ่งถึงผลประโยชน์และตัวของผู้รับคำปรึกษาเป็นสำคัญ
๒. ประโยชน์ของการให้คำปรึกษา
การให้คำปรึกษาเป็นแนวทางในการช่วยเหลือบุคคลที่ประสบปัญหาต่างซึ่งสามารถกำหนดให้เห็นหลักในการปฏิบัติหรือให้เห็นข้อมูลที่เห็นจัดดังนี้
ว่า
๒.๑. การให้คำปรึกษาเป็นแนวทางในการช่วยเหลือบุคคลที่มีประสิทธิผล
คนที่มีปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงาน เขาต้องการที่ที่รับฟังปัญหาของเขา โดยเขาสามารถเปิดเผยความกลัว
ความเศร้า ความวิตกกังวล การให้คำปรึกษาช่วยให้บุคคลสามารถเข้าใจปัญหาและตัดสินใจเองได้
ว่าเขาควรทำสิ่งใดในการแก้ไขปัญหาของเขา
๒.๒. การให้คำปรึกษาทำให้เกิดผลลัพธ์ในการตัดสินใจ
เช่น การปฏิเสธความช่วยเหลือ การยอมรับความช่วยเหลือและคำแนะนำ
เพราะถูกบังคับหรือเกรงกลัวผู้ให้ความช่วยเหลือ
ยอมรับความช่วยเหลือเพราะชอบหรือนับถือผู้ให้ความช่วยเหลือ ยอมรับความช่วยเหลือ และสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
ไม่มีใครบังคับ ซึ่งกระบวนการนี้เกิดจากการให้คำปรึกษา
๒.๓. การให้คำปรึกษาทำให้คนมีการพัฒนาการ
สามารถคิดและตัดสินใจด้วยตนเอง ถ้าบุคคลไปขอความช่วยเหลือโดยมีคนมาบอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
ความคิดหรือพัฒนาการของคนจะไม่เกิดขึ้น แต่การให้คำปรึกษาผู้ขอคำปรึกษาจะต้องคิดด้วยตนเอง
เผชิญหน้ากับความเป็นจริง และเขามีอิสระในการเลือกที่จะตัดสินใจด้วยตนเอง
การให้คำปรึกษาจะทำลายรูปแบบพฤติกรรมแบบเด็กที่มองหาผู้ใหญ่ช่วยแก้ปัญหา
๒.๔. การให้คำปรึกษาช่วยให้ผู้ขอความช่วยเหลือ
ปรับตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และมุ่งเน้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม หรือเป็นการบริหารงานแบบใหม่
ร่วมกันคิดและพัฒนาลดปัญหาการต่อต้านและไม่เห็นด้วยทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างผู้บริหาร
และพนักงาน ในการสร้างสรรค์ความคิดใหม่ เพื่อให้องค์การมีประสิทธิภาพต่อไป
๓ .
การวิเคราะห์ปัญหาด้วยความจริงที่มีอยู่
ในทางพุทธศาสนานั้น
มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถือเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต คือ อริยสัจ ๔ Ariyascca
: the four noble truths หรือ ความจริงอันประเสริฐ, ๔ ประการ
๑. ทุกข์
(The Nature of Suffering) คือ
ปัญหา หรือความไม่สบายใจ ความเดือดร้อนใจของผู้ให้คำปรึกษาที่ทำให้เขาไม่สบายใจ
และมาขอรับคำปรึกษา
๒. สมุทัย
(Suffering's Origin)
คือ สาเหตุของปัญหาที่ทำให้เกิดความสบายใจ มีสาเหตุมาจากเรื่องใด อะไรคือสาเหตุของปัญหา
๓. นิโรธ
(Suffering's Cessation) หนทางดับทุกข์
หรือวิธีการแก้ไขปัญหา มีวิธีใดบ้าง โดยค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาหลายๆ วิธี ในการค้นหาวิธีการแกไขปัญหา
ผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษาต้องช่วยกันในการค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหา
๔. มรรค (The Way Leading to the Cessation of Suffering) คือ การนำวิธีแก้ไขปัญหาที่ได้ตัดสินใจเลือกแล้ว
ว่าสามารถนำไปปฏิบัติ หรือแก้ไขปัญหาของตนเองได้ หาก
นำไปใช้แล้วยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็ให้กลับไปเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่
การให้คำปรึกษาแนวพุทธศาสนา จะช่วยให้สามารถให้คำปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาของผู้รับคำปรึกษาได้
๔.
เทคนิคการให้คำปรึกษาในสังคมไทยด้วยหลักธรรม
เทคนิคการให้คำปรึกษาในสังคมไทยปัจจุบัน พบว่าหลักธรรมสำหรับนำมาใช้เพื่อพัฒนาปัญญาของคนทั่วไป
ให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องของการดำเนินชีวิตประจำวัน
โดยเฉพาะมีจิตสำนึกในหลักศีลธรรม อันเป็นบรรทัดฐานความดีงามของชาวพุทธ
ซึ่งมีคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นทิศทางสำหรับควบคุมความประพฤติทางกาย วาจา ใจ โดยมีหลักอริยสัจจ์
ซึ่งเป็นทฤษฎีการให้คำปรึกษาที่สำคัญเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการแก้ปัญหาของมวลมนุษย์เกี่ยวข้องด้วยปัจจัย
๔ สำหรับยังอัตภาพร่างกายให้ดำรงอยู่ได้
และต้องพัฒนาแบบองค์รวมระหว่างทางกายกับทางใจตามหลักภาวนา ๔
เป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อนำไปสู่ผล คือ ความสุขของ มวลมนุษยชาติ
การพัฒนาคนแบบองค์รวม
เพื่อให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น ตามหลักพระพุทธศาสนา ได้แก่ หลักไตรสิกขา Sikkha (the threefold training)[๒]
ซึ่งเป็นหลักธรรมสำหรับพัฒนาชีวิตให้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางร่างกาย วาจา และ จิตใจ
และมีองค์ประกอบ ๓ อย่าง ได้แก่ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา เรียกสั้น
ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้น เนื้อหาสำหรับให้คำปรึกษานักเรียนจากพุทธวิธี[๓]
มีดังต่อไปนี้
๔.๑. การให้คำปรึกษาตามหลักสีลสิกขา
คำว่า “ศีล” หรือ “อธิสีลสิกขา”
หมายถึง ความประพฤติการปฏิบัติตน ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี
ให้เรียบร้อย ไม่มีโทษ คือไม่ให้เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น จากความหมายจะเห็นว่าการศึกษาเรื่องของศีล
มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาจิตใจของคน เพื่อที่จะให้
อยู่ในกรอบกฎข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยดีงามของสังคม
และการอยู่ร่วมกันอย่างมีสุข
อนึ่ง คำว่า ศีล ตรงกับภาษาบาลีว่า สีล
แปลว่า ปกติ หมายความว่า คนมีจิตเป็นปกติโดยไม่ถูกโลภะ โทสะ โมหะ
ครอบงำในการทำความผิด ดังนั้นเมื่อ มีจิตใจเป็นปกติ จะทำอะไรทางกายด้วยจิตที่(เป็นปกติ
ก็ไม่ทำกายทุจริต เมื่อจะพูดอะไรทางวาจา ก็ไม่พูดวจีทุจริต เมื่อ
คิดเรื่องราวอะไรทางใจ ก็ไม่คิดเป็นมโนทุจริต เมื่อได้ทำอย่างนี้แล้ว ใจจึงเป็นศีล
กายก็เป็นศีลวาจาก็เป็นศีล รวมความว่า ศีล
เป็นข้อบังคับสำหรับควบคุมความประพฤติทางกายและทาง วาจา ให้อยู่ในความดีงาม
สำหรับคฤหัสถ์ ได้แก่ ศีล ๕ และศีล ๘ สำหรับ สามเณร ได้แก่ ศีล ๑๐
สำหรับพระภิกษุในพระปาฎิโมกข์มี ๒๒๗ สิกขาบท ชื่อว่า “วินัย”
การให้คำปรึกษาบุคคลต่างๆตามหลักอธิสีลสิกขา
เป็นการมุ่งหวังให้ผู้รับคำปรึกษาทั่วไป ได้ปฏิบัติตนถูกต้องตามวินัยของชาวพุทธ
โดยเฉพาะต้องเคารพต่อกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสงบสุข
โดยความสุขนี้ ปัจจุบันได้เน้นไปที่คุณธรรม จริยธรรมในการดำเนินชีวิตคือ มุ่งพัฒนาคนให้มีคุณธรรมคู่กันกับความรู้
ที่สังคมกำลังต้องการ การจะปลูกฝังคุณธรรมแก่กลุ่มนักศึกษานักเรียนนี้
ผู้ที่เป็นครู อาจารย์ แม้กระทั้ง พ่อแม่ผู้อยู่ใกล้ชิดในชุมชน
ก็ควรปลูกฝังคุณธรรมความดีให้เกิดขึ้น กับตัวเอง เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้รับคำปรึกษาได้ยึดเป็นแบบอย่างในการนำไปประพฤติปฏิบัติตามด้วย
จึงจะประสบผลสำเร็จในเรื่องนี้
๔.๒. การให้คำปรึกษาตามหลักจิตตสิกขา
คำว่า “จิต”
หรือ “อธิจิตตสิกขา” หมายถึง
การศึกษาวิธีการอบรมจิตให้มีความสงบ หยุดนิ่ง เป็นสมาธิ ได้แก่ สมถกัมมัฏฐาน หรือ
สมถภาวนา เพราะมีความหมายอย่างเดียวกัน การเรียนรู้หรือการให้คำปรึกษาตามหลักจิตตสิกขา
คือ การพัฒนานักเรียนให้ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นหลัก ปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมจิต
ให้เกิดคุณธรรม คือ การทำสมาธิให้เกิดขึ้น ภายในจิตใจ เหตุผลที่บอกว่าเป็นหลักปฏิบัติ
เนื่องจากการให้คำปรึกษาจากพุทธวิธีนั้น
การพัฒนาผู้ให้คำปรึกษาให้รู้เท่าทันความคิดของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการคิดที่เป็นกุศล หรือ อกุศล ก็ต้องตระหนักรู้เสมอว่า
ผลเกิดจากการคิดของตัวเองนั้น ย่อมมีทั้ง ประโยชน์ เป็นคุณกับตัวเอง หรือ
มีโทษแก่สังคม โดยประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนา สามารถพัฒนาคุณสมบัติของจิตในด้านต่างๆ
สรุปไว้ ๓ ด้าน คือ
๑. พัฒนาคุณธรรม หมายถึง คุณภาพของจิต
คือ คุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตที่สูง ประณีต และประเสริฐ
เช่น เรื่องของ อิทธิบาท ๔ คือมี จาคะ คือ ความมีน้ำ ใจ เสียสละเอื้อเฝือเผื่อแผ่
กตัญญูกตเวทิตา หิริ คือ ความละอายต่อบาป ละอายต่อการทำความชั่ว โอตตัปปะ คือ
ความกลัวบาป เกรงกลัวชั่วทุจริต คารวะ คือ ความเคารพ ความใส่ใจรู้จักให้ ความสำคัญแก่สิ่งนั้น
ๆ อย่างถูกต้องเหมาะสม มัทวะ ความอ่อนโยน สุภาพ นุ่มนวล ไม่กระด้าง
๒. พัฒนาสมรรถภาพและประสิทธิภาพของใจ
โดยการเสริมสร้างคุณสมบัติที่ทำให้จิตใจมีความเข้มแข็ง หนักแน่น หมั่นคง
แกล้วกล้าสามารถ ทำกิจการหน้าที่ในการเรียนได้ผลดี เช่น ฉันทะ คือ ความใฝ่ รู้ใฝ่
สร้างสรรค์ วิริยะอุตสาหะ จิตตะ คือ ความมีใจจดจ่อ หรือสิ่งที่ทำ คือ ความตั้งใจ
อธิษฐาน คือ ความตั้งใจเด็ดเดียว ตบะ คือ พลังเผากิเลส สติ คือ ความระลึกนึกได้
สมาธิ คือภาวะจิตที่ตั้งหมั่นแน่วแน่
๓. พัฒนาความสุขและภาวะที่เกื้อหนุนสุขภาพของจิตใจ
คุณสมบัติที่ควรเสริมสร้างขึ้น ให้มีอยู่ประจำในจิตใจ เพื่อความมีสุขภาพจิตที่ดี
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้หลายอย่างโดยเฉพาะ เช่น เรื่องของความปราโมทย์ คือ ความร่าเริง
สดชื้นปีติ คือ ความอิ่มใจ ปัสสัทธิ คือ ความสงบเย็น สุข คือ ความคล่องใจ สันติ
คือ ความสงบ เกษม คือ ความปลอดโปร่ง สีติภาพ คือ ความเย็นสบาย เสรีภาพ คือ
ความมีใจเสรีเป็นอิสระ ประโยทาตตา คือ ความผ่องใส วิมริยาทิกัตตา คือ
ความมีใจไร้พรมแดน
สรุปความว่า การให้คำปรึกษานักเรียนตามหลักจิตตสิกขา
มีประโยชน์อย่างมากต่อ การพัฒนาความรู้คู่คุณธรรมของนักเรียน
โดยสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ได้หลาย อย่าง เช่น เรื่องของพลังจิต
การหาความสุขทางใจ คุณค่าแท้จริงของการฝึกฝนทางอธิจิตตสิกขา คือ เป็นรากฐานที่เกื้อหนุนต่อการพัฒนาปัญญาที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฐิ
(Right views) และเป็นสิ่ง สำคัญในทางพระพุทธศาสนา ที่ชาวพุทธควรศึกษาทำความเข้าใจ
และปฏิบัติให้เกิดมีขึ้น ในการ ประกอบกิจการงานใดๆ ก็จะประสบผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์
ต่อไปก็จะได้กล่าวถึงการให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาปัญญา
๔.๓. การให้คำปรึกษาตามหลักปัญญาสิกขา
คำว่า “ปัญญา”
หรือ “อธิปัญญาสิกขา” หมายถึง
ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง มองเห็นสิ่งทั้ง
หลายตามเป็นจริง จนจิตหลุดพ้นเป็นอิสระ ปราศจากกิเลสและความทุกข์ หรือเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้สูงสุด
(ปัญญา) เพื่อนำไป แก้ปัญหาชีวิตมนุษย์ได้ โดยมีองค์ประกอบของปัญญา ๓ ประการ
ได้แก่ (๑) จินตามยปัญญา (๒) สุตมยปัญญา และ (๓) ภาวนามยปัญญา
ฉะนั้น การศึกษาปัญญาทั้ง สามประการนี้เป็นการศึกษาเพื่อให้มีความรอบรู้ที่ทั่วถึงในทุกด้านๆ
หรือที่เรียกว่า “ฉลาดรู้รอบ” มีดังนี้
๑. จินตามยปัญญา หมายถึง การพิจารณาหาเหตุผลด้วยหลักการที่ใช้แนวคิดที่เป็นจิตนาการ
กล่าวคือ การมีปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ๒ ประการ ประกอบด้วย ปรโตโฆสะ และโยนิโสมนสิการเป็นต้น
เหตุของการเกิดปัญญาและความสงบสุข ดังนี้
๑)
ปรโตโฆสะ เป็นการรับฟังผู้อื่นที่ทำให้เกิดการกระตุ้น หรือ เป็นสิ่งที่ชักจูงจากภายนอก
เพื่อให้เกิดความสนใจในการรับฟัง เพื่อหาความรู้ การเล่าเรียน
การสนทนาชักถามโดยเฉพาะกัลยาณมิตรและทำให้เกิดปัญญาตามมาในภายหลัง
๒)
โยนิโสมนสิการ เป็นการใช้ความคิดให้ถูกวิธี ซึ่งเป็นการแยกแยะโดยการทำใจอย่างแยบคาย
เป็นการพิจารณาสิ่งต่างๆ ในลักษณะสืบสาวหาเหตุผลด้วยการแยกแยะประเภทสิ่งนั้น
หรือปัญหานั้น ออกให้เห็นตามสภาวะที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและปัจจัย
๒. สุตมยปัญญา หมายถึง ปัญญาที่เกิดจากการได้ศึกษาเล่าเรียนตามหลักธรรมคำสั่งของพระพุทธเจ้าโดยอาศัยหลัก
ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรมและปฏิเวธธรรม[๔]
ซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อให้เกิดความรู้ความสามารถทางปัญญา ที่จะต้องปฏิบัติตาม ๓ ขั้น
ดังนี้
๑)
ปริยัติธรรม เป็นการศึกษาหาความรู้จากตำรับตำรา หรือ การได้ยินได้ฟังมาอย่างถูกต้องและเข้าใจในการเรียนรู้หรือการได้ยินได้ฟังสิ่งเล่านั้น
อย่างแม่นยำ
๒)
ปฏิบัติธรรม นำไปประพฤติปฏิบัติตามที่ตนได้เล่าเรียน หรือ
ได้ยินได้ฟังจากครูอาจารย์ที่ท่านส่งสอนมาเป็นอย่างดี
๓)
ปฏิเวธธรรม เป็นผลที่ได้รับจากการเล่าเรียนและนำไปประพฤติปฏิบัติ
คือความรู้ความสามารถที่จะสามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขปัญหาของชีวิตได้ จึงเรียกว่า
ปัญญา
๓. ภาวนามยปัญญา เป็นการพัฒนาปัญญาเพื่อให้ถึงขั้น
สูงสุด เรียกว่า “ปัญญาภาวนา”[๕] และ “ปัญญาวิมุตติ”[๖]ดังนี้
๑)
ปัญญาภาวนา เป็นการพัฒนาภูมิปัญญาเพื่อให้รู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ในโลก ซึ่งโลกหมายถึง ตัวของมนุษย์เอง เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริง
สามารถทำให้จิตใจ เป็นอิสระปราศจากความโลภ ความโกรธ และความหลง พ้นจากความทุกข์
เพราะอาศัยปัญญา เป็นตัวแก้ปัญหาชีวิตมนุษย์ให้พ้นจากทุกข์ได้
๒)
ปัญญาวิมุตติ เป็นการพัฒนาปัญญาถึงขั้น สูงสุดจนกระทั่งสามารถทำให้ มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ด้วยปัญญา
หลุดพ้นจากการถูกครอบงำของอวิชชา สามารถพัฒนา ปัญญาให้เข้าถึงพระนิพพานได้ด้วยปัญญาวิมุตติ
ดังนั้นการให้คำปรึกษาจากพุทธวิธี ถ้าสรุปตามการดำเนินการตามหลักไตรสิกขา
โดยมุ่งหวังให้ผู้ที่รับคำปรึกษามีพัฒนาการทางปัญญาที่ถูกต้อง มีพัฒนาการทั้ง
ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เป็นคนดีมีสัมมาทิฐิ คือมีความคิดเห็นตรงตามความเป็นจริง
เห็นอย่างไรก็ให้คิดอย่างนั้น เมื่อผู้รับคำปรึกษามีความเห็นที่เป็นจริงอย่างนี้แล้ว
ถือว่าเป็นผู้มีสัจจะประจำใจ และนอกจากนี้ความเห็นถูกต้องทำให้เกิดสัมมาทิฐิแบบอื่นๆ
ตามด้วย เช่นการเห็นจริงในพระไตรลักษณ์ คือเห็นความเป็น อนิจจัง ทุกขัง
และอนัตตาตามความเป็นจริงก็สามารถพัฒนาความเห็นที่เป็นจริงตามที่ได้พบเห็นแล้ว
ย่อมจะสามารถปฏิบัติไปได้อย่างถูกต้องตามหลักแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา และพัฒนาความรู้ความเข้าใจไปจัดสภาพแวดล้อมให้เกื้อกูลกันและคอยเสริมกระตุ้นเร้าให้เนื้อหาของการศึกษาเป็นไปตามกระบวนการนั้นๆได้อย่างถูกต้อง[๗]
๕. เป้าหมายการให้คำปรึกษาจากพุทธวิธี
สำหรับเป้าหมายการให้คำปรึกษาจากพุทธวิธี
ถือเป็นคุณธรรมที่ทุกสังคมต้องการให้มีขึ้น แก่ทุกคน เพราะในเมื่อพลเมืองในสังคมมีคุณธรรม
จริยธรรมดำเนินชีวิตที่ถูกต้องโดยผ่านกระบวนการฝึกฝน อบรมบ่มเพาะนิสัย ตามหลักพระพุทธศาสนา
ก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างสันติสุข คือ มีความพอประมาณกับการใช้จ่ายประจำวัน
หรือที่เรียกว่า ดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
โดยเฉพาะเยาวชนหรือนักเรียนในสภาพสังคมทุนนิยมปัจจุบันที่คลั่งไคล้ไปตามกระแสของวัตถุนิยมจนก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ
นำมาสู่ครอบครัว กล่าวคือ
พ่อแม่ต้องรับภาระหนักในการประคองฐานะของครอบครัวให้ดำเนินอยู่ได้ด้วยสมบูรณ์ ฉะนั้น
การนำหลักธรรมมาสนับสนุนให้ครอบครัวมีเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้น ถือเป็นหลักพื้นฐานของการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคนจึงต้องมีหลักดำเนินชีวิต
๓ อย่าง ได้แก่ (๑) อัตตัตถะ (๒) ปรัตถะ และ(๓) อุภยัตถะ[๘]
กล่าว คือ เป้าหมายการพัฒนาชีวิตปัจจุบัน เป้าหมายการพัฒนาชีวิตเบื้องหน้า และ เป็นหมายการพัฒนาชีวิตสูงสุด
หรืออีกมิติหนึ่งคือการสร้างประโยชน์เพื่อตนเอง เพื่อผู้อื่นและเพื่อทั้ง สองฝ่ายร่วมกัน
เพื่อความสมบูรณ์ของชีวิต แต่ชีวิตที่สมบูรณ์นั้น เป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ทางพระพุทธศาสนาได้สอนว่า
ชีวิตที่สมบูรณ์ต้องประกอบด้วยประโยชน์สุขในระดับต่างๆ ประโยชน์สุขนี้แหละเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต
หมายความว่า ชีวิตของเรานี้มีจุดหมาย หรือ มีสิ่งที่ควรเป็นจุดหมายแบ่งออกเป็น ๓
ระดับ ดังนี้
๕.๑. เป้าหมายการพัฒนาชีวิตปัจจุบัน
เป้าหมายการพัฒนาชีวิตปัจจุบัน หรือ
ประโยชน์ในปัจจุบัน คือ ประโยชน์สุขที่ตามองเห็น
ซึ่งเป็นเรื่องของวัตถุหรือด้านรูปธรรม ถ้าจะสรุปประโยชน์ในระดับต้น เป็นสิ่งที่ตามองเห็น
ดังนี้
๑. มีสุขภาพดี มีร่างกายแข็งแรง
ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นอยู่สบายใช้การได้ดี
๒. มีทรัพย์สินเงินทอง มีการงานอาชีพเป็นหลักฐาน
หรือพึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้มีความสำคัญ พระพุทธเจ้าสอนไว้มากมายในเรื่องทรัพย์สินเงินทองว่าจะหามา
อย่างไร จะจัดอย่างไร
และจะใช้จ่ายอย่างไร
๓. มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนมนุษย์
หรือมีสถานะในสังคม เช่น ยศศักดิ์ ตำแหน่งฐานะ ความมีเกียรติ มีชื่อเสียง
การได้รับยกย่อง หรือเป็นที่ยอมรับในสังคม รวมทั้ง ความมีมิตรสหายบริวาร
๔. สุดท้ายที่สำคัญสำหรับชีวิตคฤหัสถ์ก็คือ
มีครอบครัวที่ดีมีความสุข ทั้ง หมดนี้ เป็นประโยชน์สุขระดับต้น ซึ่งตามมองเห็น
ท่านบัญญัติศัพท์ไว้เฉพาะ เรียกว่า ทิฏฐิธัมมิกัตถะ แปลว่า ประโยชน์ในปัจจุบัน
หรือประโยชน์ที่ตามองเห็น เป็นประโยชน์ ที่มองเห็นเฉพาะหน้า และเป็นฐานที่ตั้งมั่นคงระดับแรก
ทุกคนควรทำให้เกิดขึ้น ถ้าใครขาดประโยชน์ ระดับนี้แล้ว จะมีชีวิตที่ลำบาก
มีชีวิตอยู่ในโลกได้ยาก และจะก้าวไปสู่ความสุขหรือประโยชน์ ระดับสูงขึ้น
ไปก็ติดขัดมาก
ฉะนั้น ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ก็ต้องพยายามสร้างประโยชน์สุขในระดับต้นให้ได้
พอมีแล้ว ก็สบาย คือเป็นประโยชน์ตน เรียกว่า อัตตัตถะ หมายถึง สิ่งที่เป็นคุณแก่ชีวิต และหลักธรรมที่ เกื้อหนุนกับการสร้างประโยชน์ต้นให้เจริญขึ้น
นั้น ก็คือ หลักหัวใจเศรษฐี ได้แก่ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา
และสมชีวิตา[๙]
มีหลักปฏิบัติดังนี้
๑. อุฏฐานสัมปทา
เป็นผู้เข้าถึงความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ ประสบความสำเร็จด้วยความสุจริต
พยายามฝึกฝนให้เกิดความชำนาญในงานที่ตนปฏิบัติอยู่และ พยายามปฏิบัติให้ความสำเร็จถึงที่สุด
เป็นต้น
๒. อารักขสัมปทา เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยการรักษาทรัพย์ให้หมั่นคง
ซึ่งจะเป็น การสร้างตัวสร้างครอบครัวให้มีความเจริญงอกงาม
และเป็นการเก็บรักษาทรัพย์ที่หามาได้ด้วย ความสุจริต คือ สุจริตในการแสวงหา
สุจริตในการได้มาจึงสามารถรักษาทรัพย์เหล่านั้น ไว้ด้วย ความเย็นหรือที่เรียกว่า “ทรัพย์เย็น” เป็นทรัพย์ที่ได้มาด้วยความสุจริต
๓. กัลยาณมิตตตา เป็นผู้ที่รู้จักคบมิตรที่ดี ซึ่งเป็นมิตรที่ให้ความอุปการะซึ่งกันและ
กัน เป็นมิตรที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ เป็นมิตรที่แนะนำประโยชน์มาให้และเป็นมิตรที่มีน้ำใจ
เพราะคำว่ามิตรนั้น มีความหมาย และความสำคัญต่อบุคคลมาก และยังสามารถเป็นตัวกำหนดในการดำเนินชีวิตอีกประการ
เมื่อคบเพื่อนดี ก็เป็นสิ่งที่ดีในการคบมิตร
๔. สมชีวิตา เป็นผู้รู้จักการเลี้ยงชีพตามความเหมาะสมกับทรัพย์ของตนที่มีอยู่
ซึ่งเป็นการกำหนดถึงรายรับรายจ่ายของตน ที่ได้รับและมีอยู่ให้พอดีกัน รู้จักสิ่งใดควรใช้จ่ายก่อนใช้จ่ายที่หลัง
เพื่อให้มีความพอดีในรายจ่ายกับรายรับสรุปว่า การสร้างชีวิตให้สมบูรณ์ในระดับต้นนี้มีความสำคัญกับคนทุกระดับชัน.
ซึ่งไม่เฉพาะเจาะจงไปที่ตัวผู้ปกครองของเยาวชนเท่านั้น
แม้กระทังนักเรียนเองก็ต้องมีและสร้างมันให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะต้องตั้ง
ใจเรียนให้ประสบผลสำเร็จอันเป็นที่หวังของพ่อแม่ และเป็นที่พึงของตัวเองในอนาคตด้วย
โดยเฉพาะการคบหาสมาคมกับเพื่อนที่ดี ก็จะนำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองอันนี้เป็นสิ่งสำคัญของการพัฒนานักเรียน
เพื่อให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสงบสุขทั้ง ทางกายทางวาจา และทางจิตใจ
จึงมีการเสาะแสวงหาปัจจัยมาเพื่อเลี้ยงชีพอย่างบริสุทธิnตามหลักของ“สัมมาอาชีวะ”
๕.๒. เป้าหมายการพัฒนาชีวิตเบื้องหน้า
สำหรับการพัฒนาชีวิตให้สมบูรณ์ ได้แก่ ประโยชน์สุขที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นเรื่องของจิตใจลึกซึงลงไปเรียกว่า
ประโยชน์ที่เลยจากตามองเห็น หรือเลยไปข้างหน้าไม่เป็นรูปธรรมต่อหน้าต่อตา เรียกว่า
สัมปรายิกัตถะ คือ การมีชีวิตที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ การที่เราได้ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้อื่นด้วยคุณธรรม
และได้ทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ เมื่อระลึกถึงขึ้น มาว่าเราได้ใช้ชีวิตนี้มีประโยชน์
เราได้ทำชีวิตให้มีคุณค่า ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ได้เกื้อกูลแก่สังคมแล้ว
พอระลึกขึ้นมาเราก็อิ่มใจสบายใจ ทำให้มีความสุขอีกแบบหนึ่ง โดยอาศัยความสุขในระดับที่หนึ่งมาช่วยเสริมเติมแต่งมีศรัทธาเป็นฐาน
คือ มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงามในคุณงามความดีที่ได้กระทำไว้ตลอดจนมีวิถีชีวิตที่ดีงามด้วย
การสร้างประโยชน์ นี้เรียกอีกอย่างว่า
ปรัตถะ หมายถึง การสร้างประโยชน์เพื่อผู้อื่น โดยมีศรัทธาและศีลควบคุมความประพฤติที่ดีงาม
และเกื้อกูลไม่เบียดเบียนใคร ทำแต่สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ มีจาคะ มีความเสียสละ
ได้ใช้ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ทำให้เกิดคุณค่า
ขยายประโยชน์สุขให้กว้างขวางออกไป แล้วก็มีปัญญา มีความรู้ความเข้าใจในความจริงของสิ่งทั้งหลายพอที่จะปฏิบัติต่อสิ่งที่ชีวิตเกี่ยวข้อง
เริ่มแต่บริโภคบริหารใช้จ่ายจัดการทรัพย์สินเงินทองนั้น ในทางที่จะเป็นคุณประโยชน์สมคุณค่าของมันแล้วไม่เกิดเป็นปัญหา
ไม่ให้เกิดทุกข์ไม่ลุ่มหลงมัวเมา อยู่อย่างเป็นนาย มิใช่เป็นทาสของทรัพย์
ก็จะก้าวไปสู่ประโยชน์สุขในระดับที่สาม แต่ถึงจะมีเพียงพอสองขั้นนี้ก็นับว่ามีชีวิตที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แล้ว
๕.๓ เป้าหมายการพัฒนาชีวิตสูงสุด
เป้าหมายการพัฒนาชีวิตสูงสุด
หรือความสมบูรณ์ของชีวิต ได้แก่ประโยชน์สุขที่เป็นนามธรรม ขั้นที่เป็นโลกุตตระ เป็นเรื่องของจิตใจที่เป็นอิสระอยู่เหนือกระแสโลกเนื่องจากมีปัญญาที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต
อย่างที่ว่าอยู่ในโลกแต่ไม่ติดโลก หรือไม่บนโลก เหมือนใบบัวไม่ติดน้ำ หรือไม่เปียกน้ำ
เรียกว่า ปรมัตถะ แปลว่า ประโยชน์สูงสุดอนึ่งผู้ที่พัฒนาปัญญาไปถึงประโยชน์สูงสุด
นอกจากอยู่ในโลกที่ว่าได้รับประโยชน์ขั้น ที่หนึ่งและขั้น ที่สองสมบูรณ์แล้ว
ยังไม่ถูกกระทบกระทั้งไม่ถูกกฏธรรมชาติเข้ามาครอบงำบีบคั้นด้วย
ความทุกข์ที่ในธรรมชาติก็มีไป แต่มันไม่เกิดเป็นความทุกข์ในใจเรา อนิจจัง
ก็เป็นไปของมันใจเราไม่ผันผวนปรวนแปรไปด้วย จึงมาถึงขั้นที่ เรียกว่าถูกโลกธรรม[๑๐]
กระทบก็ไม่หวั่นไหวนอกจากนี้การมุ่งประโยชน์สูงสุดนี้เรียกได้อีกว่า อุภยัตถะ คือ
การใช้ประโยชน์กันทั้ง สองฝ่าย ซึ่งเป็นขั้น ตอนในการใช้สอยทรัพย์ของตนที่พึงหามาได้ด้วยความสุจริต
อริยสาวกที่แสวงหาทรัพย์มาได้ด้วยความอุตสาหะวิริยะและได้นำมาโดยชอบธรรมแล้ว
จึงใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
๑. ใช้สอยเลี้ยงตนเอง บิดามารดา บุตร ภรรยา
และบุคคลอยู่ในความดูแลให้ได้รับความสุข
๒. บำรุงมิตรสหายที่เป็นกัลยาณมิตร
และผู้ร่วมกิจการให้ได้รับความสุข
๓.
ใช้ปกป้องรักษาความปลอดภัยของตนด้วยการนำไปใช้สอย หรือจัดสรรในเรื่องของความปลอดภัย
เช่น น้ำ ท่วม ฝนแล้ง เป็นต้น
๔. ใช้สอยในการทำพลีกรรม
หรือการใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น
๑) ญาติพลี คือ
สงเคราะห์ญาติผู้มีความขัดสนในปัจจัยเลี้ยงชีพ
๒) อติถิพลี คือ
ใช้ต้อนรับแขกที่มาเยเยี่ยมเยียน มีการเลี้ยงข้าวปลาอาหาร
๓) ปุพพเปตพลี คือ
ใช้ในการทำบุญอุทิศกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
๔) ราชพลี
ใช้บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากรให้รัฐนำไปบริหารจัดการเพื่อนำมาเป็นสวัสดิการทางสังคมอีกที่หนึ่ง
๕) เทวตาพลี เป็นการใช้บวงสรวงเทวดาตามความเชื่อหรือใช้อุทิศในส่วนของเทวดา
ดังในประเทศไทยมีการบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช เป็นต้น
๕. อุปถัมภ์พระสงฆ์
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ไม่ประมาทในกองสังขารนอกจากนี้ยังมีหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการสงเคราะห์
คือ สังคหวัตถุ ๔ ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตา
เป็นหลักการสงเคราะห์ให้บุคคลอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ประกอบด้วย
๑. ทาน เป็นการแบ่งปันสิ่งของที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนปัจจัยเลี้ยงชีพ
๒. ปิยวาจา เป็นผู้มีคำพูดที่ไพเราะ
เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจได้ด้วยคำพูด
๓. อัตถจริยา เป็นบุคคลผู้ทำตัวให้เกิดประโยชน์แก่สังคม
หรือการเสียสละตนเพื่อ
ประโยชน์ของสังคม
๔. สมานัตตตา
เป็นการวางตัวให้เสมอต้นเสมอปลาย ถ้าเป็นคนดีก็ให้เป็นคนดี
ตลอดไป เคยทำตัวอย่างไร
ก็ควรทำอย่างนั้น[๑๑]
๖. สรุป
การให้คำปรึกษานั้นเพื่อจุดมุ่งหมายของชีวิต
ดังได้กล่าวมาแล้ว ก็สามารถสรุปวัตถุประสงค์ของความสมบูรณ์ของชีวิตในการให้คำปรึกษาได้ดังนี้
(๑) เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม เน้นที่วัตถุ (๒) เพื่อใช้สำรวจตนด้วยตนเอง เน้นที่นามธรรมคือ
ความดี และเพื่อจะได้มีความหมั่นใจในตนเองที่จะพัฒนาให้ยิ่งขึ้น ไปทางพระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า
ชีวิตที่ดีงามจะต้องดำเนินให้บรรลุถึงจุดหมาย ๓ ชั้น คือ (๑)ประโยชน์ปัจจุบัน
คือประโยชน์ทางด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง (๒) ประโยชน์เบื้องหน้า คือ
มีชีวิตที่ดีงามมีความมั่นใจในคุณค่าของชีวิตของตน และ (๓) ประโยชน์สูงสุด คือ
จิตใจเป็นอิสระด้วยปัญญารู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต
หลุดพ้นจากความครอบงำของกิเลสและความทุกข์
สามารถทำจิตให้ปลอดโปร่งผ่องใสได้ทุกเวลา เป็นประโยชน์สูงสุดรวมความว่า
จุดมุ่งหมายหลัก ๓ ขั้น คือ (๑)
ทิฎฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ปัจจุบันต่อหน้าตาเห็นได้ (๒) สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์เบื้องหน้า
ลึกล้ำระยะยาว และ (๓)
ปรมัตถะประโยชน์สูงสุด หลุดพ้น เหนือกาล แต่ถ้าแบ่งตามแนวราบ ประโยชน์นั้น
จะแยกออกเป็น ๓ ประเภท คือ ๑. อัตตัตถะ หมายถึง ประโยชน์ตน ๒. ปรัตถะ หมายถึง ประโยชน์ผู้อื่น ๓. อุภยัตถะ หมายถึง
ประโยชน์ร่วมกันทั้ง สองฝ่าย
ฉะนั้น ประโยชน์ตนเองก็ตามต้องทำให้ได้ทั้ง
๓ ขั้น คือ ปัจจุบัน เบื้องหน้า และสูงสุดส่วนประโยชน์ของผู้อื่นก็ต้องช่วยให้เขาได้บรรลุทั้ง
๓ ขั้น นั้น และประโยชน์ส่วนร่วมกันทั้ง สองฝ่ายก็ต้องส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วม
ทั้ง รูปธรรม และนามธรรม ซึ่งจะช่วยให้ทั้ง ตนและผู้อื่นก้าวหน้าไปในการบรรลุประโยชน์ทั้งสามในที่สุด
เอกสารอ้างอิง
พระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาฯ,กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต),. พุทธวิธีบริหาร.
กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙.
มัลลวีร์
อดุลวัฒนศิริ.เทคนิคการให้คำปรึกษา : การนำไปใช้.ขอนแก่น
: โรงพิมพ์คลังนานา.๒๕๕๔.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตโต) . ธรรมกับการพัฒนาชีวิต . กรุงเทพฯ : มูลนิธิพุทธธรรม
๒๕๓๙.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตโต) . พุทธวิธีแก้ปัญหา เพื่อศตวรรษที่
21 . กรุงเทพฯ : มูลนิธิพุทธธรรม ๒๕๓๙.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตโต) . ธรรมนูญชีวิต . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการศาสนา
2540.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตโต) . พระพุทธศาสนาพัฒนาคนและสังคม . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการศาสนา
๒๕๔๒ .
พระพรหมคุณาภรณ์
(ประยุทธ์ ปยุตฺโต), วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม,
พิมพ์ครั้งที่ ๙, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสาร, ๒๕๔๙,
พระมหามฆวินทร์ ปุริสุตฺตโม มองศาสนา มองปรัชญา, กรุงเทพฯ
: สำนักพิมพ์ช่อระกา.๒๕๕๐.
สมพร สุขเกษม ดร . ความจริงของชีวิต . กรุงเทพฯ
: สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ๒๕๔๒
สมบัติ
ธำรงธัญวงศ์. การเมือง
แนวความคิดและการพัฒนา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เสมาธรรม,๒๕๔๕.
สุชีพ ปุญฺญานุภาพ.คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา.กรุงเทพฯ
: สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย,๒๕๓๓.
[๑]English -Thai
,Thai-English language, Dictionary desk reference edition, se-education public company limited : Bangkok
2002.
[๒] พจนานุกรมพุทธศาสตร์
ฉบับประมวลธรรม, พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต)
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๘ หน้า ๑๒๗
[๓] พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม, พิมพ์ครั.งที่
๙, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสาร, ๒๕๔๙), หน้า ๑๓
[๔] ดูรายละเอียดใน พุทธทาสภิกขุ, คู่มือการศึกษาพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร
: ธรรมสภา, ๒๕๔๔), หน้า ๑๓๑-๑๓๕.
[๕] องฺ.ปญฺจก.
(ไทย) ๒๒/๗๙/๑๒๑.
[๖] องฺ.ทุก.
(ไทย) ๒๐/๒๗๖/๗๘.
[๗] พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม,
พิมพ์ครั้งที่ ๙,(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสาร, ๒๕๔๙), หน้า ๑๓-๑๔.
[๘] สํ.นิ.
(ไทย) ๑๖/๖๗/๓๕.
[๙] พระพรหมคุณาภรณ์
(ป.อ. ปยุตฺโต), ชีวิตที่สมบูรณ์, อ้างใน
หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทาน
เพลิงศพ คุณแม่โบ้ตัว แซ่ห่าน
จิตสุทธิภากร, (นครสวรรค์
: ทิศทางการพิมพ์ นครสวรรค์,
๒๕๕๓), หน้า ๗๑-๗๒.
[๑๐] พระธรรมปิฎก
(ป.อ.
ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์
ฉบับประมวลศัพท์,
หน้า
๒๑๗.
[๑๑] พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, พิมพ์ครั้ง ที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๔๔), หน้า ๒๑.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น